วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่องของ...สุนทรียภาพญี่ปุ่น

จาก เยินเงาสลัว (In Praise of Shadows) ถึง วะบิ-ซะบิ (Wabi Sabi)

Photobucket

 

       เมื่อหลายปีก่อนได้รับหนังสือ...เยินเงาสลัว...มาจากสาวน้อยที่มีนามว่าเดือน  จำได้ว่าอ่านอยู่หลายรอบกว่าจะจบเพราะลักษณะการเขียนจะออกแนวบทความเชิงวิชาการแต่หลังจากอ่านจบได้อะไรๆ จากหนังสือเล่มนี้ไปค่อนข้างเยอะเราเห็นความงามไม่ใช่ในตัวของสิ่งนั้นแต่เห็นในแบบแห่งเงาสลัวซึ่งเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น

...

เรามิได้รังเกียจทุกสิ่งที่ทอประกายแวววับ  แต่เราสมัครนิยมความเรืองรอง อันล้ำลึกมากกว่าความเจิดจ้าอันผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นรัตนมณีหรือสิ่งประดิษฐ์โดยฝีมือมนุษย์ เราพอใจแสงทึมๆ  ซึ่งบ่งบอกถึงความสุกใสจากความเก่าแก่

จุนิจิโร ทานิซากิ ( Jun'ichiro Tanizaki ) ผู้เขียน

      ช่วงนั้นก็บ้าเรื่องแสงและเงาไปพักใหญ่  ชอบแสงเทียนมากกว่าแสงไฟนีออน  ชอบคืนเดือนเพ็ญมากกว่าคืนเดือนแรม  บางครั้งก็เอาไอเดียเรื่องนี้ไปใช้กับงานของออฟฟิศ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ลักษณะงานนั้นๆจะเอื้อให้ใช้ได้  ไอเดียบางอย่างที่เคยออกแบบเอาไว้แล้วโดน…Reject…ก็เก็บเข้ากรุเอาไว้เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้งัดออกมาใช้ได้บ้าง

    ผ่านไปหลายปีจนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาส อ่านหนังสือของนิ้วกลมโตเกียวไม่มีขา ที่หน้าปกมีประโยคสั้นๆประโยคหนึ่งว่า บันทึกการเดินทางค่อนข้างร่วมสมัย มีแรงบันดาลใจเป็นของแถม

ในบทที่…62 โอโตซัง (วะบิ-ซะบิ )

Photobucket Photobucket

อย่าได้ครองของใช้ที่ไม่สวย

         คำขวัญประจำขบวนการรสนิยมสุนทรีย์ที่นำโดย วิลเลียม มอร์ริส ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในอังกฤษที่ได้มีการผลิตข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากด้วยระบบอุตสาหกรรม แน่นอนที่สุดของในระบบอุตสาหกรรมย่อมมีความงามสมบูรณ์แบบเท่ากันทุกชิ้น  ทว่า

“Beauty is in the eyes of the beholder”

ความงามนั้นไซร์อยู่ในสายตาผู้มอง

      สำหรับโอโตซัง ข้าวของเครื่องใช้ที่มีร่องรอยแห่งกาลเวลาตำหนิแห่งการใช้สอยและเอกลักษณ์แห่งหัตถกรรมนั้น มีความสุกใสในความเก่าแก่ มีความงามตามธรรมชาติที่แปรเปลี่ยน

       จาน ชาม รวมไปถึงถ้วยสาเกที่เราถืออยู่ในมือนั้น ไม่มีสักใบที่ทำจากระบบอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่าไม่มีสักใบที่เหมือนกันและไม่มีใบไหนในโลกที่เหมือนกันแป๊ะๆ

ผมนึกถึงข้อความในหนังสือ วะบิ-ซะบิ โดยเลนนาร์ด โคเรน จากสำนักพิมพ์สวนเงินมีมาที่กล่าวว่า

สิ่งของวะบิ-ซะบิ ไม่เสแสร้งและดูกลมกลืนกับองค์รวม  พวกมันไม่ป่าวร้องว่าข้านี้สำคัญมันดำรงอยู่ร่วมกับที่เหลือของสภาพแวดล้อมของพวกมันได้โดยง่าย

     ความงามจากความไม่สมบูรณ์แบบมีเสน่ห์อย่างประหลาด หรือแท้จริงแล้ว หากเราใส่ใจมองสิ่งต่างๆอย่างใกล้ชิดแล้ว เราจะเห็นร่องรอยตำหนิต่างๆ และร่องรอยของความไม่สมบูรณ์แบบหรือตำหนิแห่งกาลเวลานั่นเอง ที่กระซิบบอกความลับของชีวิต มันค่อยๆเอ่ยปากเล่าถึงความชั่วคราวไม่เที่ยงแท้และแน่นอนของสรรพสิ่งทั้งปวง มันค่อยๆ คลี่คลายปริศนาแห่งความเปราะบางของชีวิตที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยดวงตาที่หยาบช้าและยิ่งสิ่งใดเข้าใกล้ภาวะแห่งการสูญสลาย สิ่งนั้นยิ่งมีค่าความงามและปลุกการตอบสนองทางอารมณ์ความรู้สึกได้มากยิ่งขึ้น

...

Photobucket

นี่คือหนังสือที่นิ้วกลมเขียนไว้ในโตเกียวไม่มีขา

...

วะบิ-ซะบิ (Wabi Sabi)

สำหรับศิลปิน นักออกแบบ กวี & นักปรัชญา

เลนนาร์ด โคเรน : เขียน / กรินทร์ กลิ่นขจร : แปล

เขียนถึงเรื่องที่ยากที่สุดของวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก

        วะบิ-ซะบิ เป็นวิถี เป็นตัวกระบวนการ เป็นศิลปะอันหยั่งลึกสู่เซน เป็นการนำเสนอความคิด ความเข้าใจชีวิต ผ่านศิลปะคือ  ความงามของสรรพสิ่งที่  ไม่สมบรูณ์แบบ ไม่คงทนถาวร และไม่เสร็จสมบรูณ์คือ ความงามของวัตถุสิ่งของที่สงบเสงียมและอ่อนน้อม คือ ความงามของวัตถุสิ่งของที่ไม่ยึดติดในคติแบบแผน

 

ไปซื้อมาอ่านเพราะอยากจะอ่านทั้งเล่มแต่งานแปลเล่มนี้กลับอ่านเข้าใจยาก ยิ่งกว่าไม่รู้ว่าผู้แปลใช้ภาษาที่ลุ่มลึกเกินไปหรือเปล่า จึงใช้เวลาในการอ่านอยู่นานพอสมควร  ในระหว่างที่ยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง ช็อกโกเลต ในบางบทบางตอนที่กล่าวถึงพ่อของนางเอกที่เป็นคนที่ชอบสะสมของที่มีตำหนิไม่เว้นแม้แต่การไปแอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้ว  ดูหนังจบกลับมาอ่านหนังสือแปลอีกรอบ ถึงได้เข้าใจในความหมายของวะบิ-ซะบิ

        เมื่อย้อนกลับไปอ่านเยินเงาสลัวแล้ววกกลับมาอ่าน วะบิ-ซะบิ อีกรอบ มีบางสิ่งบางอย่างในความคิดเริ่มเปลี่ยนไปและเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ว่า...ทำไมถึงชอบนัก...

            โดยเฉพาะคำนำของ ดร. นิจ หิญชีระนันทน์ (อดีตนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์) ซึ่งเขียนไว้ว่า

             ในบทที่ว่าด้วย คำนิยามเฉพาะกาล  ที่ให้ความเห็นว่าคำว่า  Rustic ( หยาบและเรียบง่ายแบบชนบท:ผู้แปล) แต่ข้าพเจ้ากลับนึกไปถึงคำว่าสมถะหรือเรียกเป็นพระบาลีว่าสันตุฏฐิธรรมเข้าแนวภาษิตที่ตัวชอบที่สุดคือ ปลูกเรือนแต่พอตัว หวีหัวแต่พอเกล้า

           ในบทที่ว่าด้วยจักรวาลวะบิ-ซะบิ  มีการกล่าวถึงความเมินเฉยต่อความสูง-ต่ำ ของมูลค่าทางวัตถุ โดยการยกลำนำของ อังคาร กัลยาณพงค์ มา ความว่า

โลกนี้มิอยู่ด้วยมณีเดียวนา ทรายและสิ่งอื่นมีส่วนสร้าง

ปวงธาตุ ต่ำ กลาง ดี ดุลยภาพ  ภาคจักรพาลมิร้างเพราะน้ำแรงไหน

ภพนี้มิใช่หล้าหงษ์ทองเดียวเลย  กาก็เจ้าของครองชีพด้วย

เมาสมมุติจองหอง หินชาติ  น้ำมิตรแล้งโลกม้วยหมดสิ้นสุขศานต์

...

 

      ในบทที่ว่าด้วยการเปรียบเทียบ  เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างนวนิยม(Modernism) กับ วะบิ-ซะบิ ปรากฏว่าในความคิดเห็นบางประการที่เกี่ยวกับกาลเวลานั้น  ฝ่ายนวนิยม (Modernism) มีแนวทางมุ่งสู่อนาคต แต่ฝ่ายวะบิ-ซะบิ มีแนวทางดำรงสติอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งไปตรงกับความคิดเห็นของ…Omar Khayyam ที่ว่า

Unborn tomorrow

And dead yesterday

Why fret about them

If today be sweet

แล้วก็มาพบกับความหมายเดียวกันในแนวคิดของนักลงทุน

Yesterday is a canceled cheque.

Tomorrow is a promisory note,

Today is cash in hand

Spend it wisely

อันที่จริง พระไตรปิฎกสอนศาสนิกชนให้เข้าใจคุณค่าของปัจจุบัน อันนิรันดร์ มากว่า 25 ศตวรรษแล้ว               

อดีต ก็ล่วงไปแล้ว ไม่ควรหวนละห้อย

อนาคต ก็ยังมาไม่ถึง ไม่ควรคำนึงเพ้อหวัง

พึงคำนึงพิจารณากระทำ ปัจจุบันให้ดีที่สุดเถิด

...

      ในบทที่ว่าด้วยคุณค่าทางจิตวิญญาณของ วะบิ-ซะบิในข้อที่ว่า สรรพสิ่งทั้งมวลล้วนไม่คงทน (Impermanent) มีแต่จะเสื่อมสลายและเลือนหายไปสู่ภาวะของการถูกลืมเลือน(Oblivion)และความไม่มีอยู่ (Nonexistttence) เหมือนการเบ่งบานและร่วงโรยของดอกซากุระ ซึ่งเป็นความไม่เที่ยงและให้ปลงซะว่า

มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น

มีแปรเปลี่ยนไปในท่ามกลาง

และดับไปในที่สุด

สรุปได้ใจความสั้นๆว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

...

หลังจากที่อ่านและพิมพ์แนะนำหนังสือเล่มนี้จบ พลันกระดาษที่ไสกาว เข้าเล่มเอาไว้ไม่ดีนักก็หลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ช่างตอกย้ำในความเป็นวะบิ-ซะบิซะจริงๆ

ปล...

ถ้วยสาเก  2 ใบนี้ขอซื้อมาจากร้านเหล้าเล็กๆที่…Minowa...ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน Minowa Station…Exit 3  ไม่มากนัก วันนั้นเดินทางกลับที่พักก็ดึกแล้ว อากาศก็หนาวมากเพราะเจอฝนเข้าไปด้วยเราแวะดื่มสาเกแก้หนาวกัน  พอเจ้าของร้านเอาถ้วยสาเกมาให้เลือกสะดุดตากับถ้วย 2 ใบนี้ ถามเจ้าของร้านว่าขอซื้อได้มั๊ย เพราะชอบ เจ้าของร้านบอกว่าเป็นของเก่าเดี๋ยวนี้ไม่ผลิตแล้ว(จริงหรือป่าวไม่รู้) เอามาเป็นภาพประกอบเพราะรู้สึกว่าเข้ากับเนื้อหาที่พูดถึงพอดี

        

 

19 ความคิดเห็น:

DumEsso . กล่าวว่า...

เยินเงาสลัว <<< คุ้นๆมากเลยพี่ แต่ผมดันไปจำเป็น "เยิรเงาสลัว" - -'a

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ตอนหลังเค้าก็พิมพ์ว่า..."เยิรเงาสลัว" นั่นแหล่ะ

DumEsso . กล่าวว่า...

เก็ทละ! ขอบคุณครับพี่ที่มาตอบให้ อุอุ

Jade N.C. กล่าวว่า...

เคยพิมพ์ คำนำ ฉบับภาษาอังกฤษไว้นานแล้ว ขออนุญาตน้องปุ๊ นำมาลงไว้แบ่งกัน อ่าน นะครับ

FOREWORD

One of the basic human requirements is the need to dwell,
and one of the central human acts is the act of inhabiting,
of connecting ourselves, however temporarily,
with a place on the planet which belongs to us and to which we belong.
This is not, especially in the tumultuous present,
an easy act (as is attested by the uninhabited and uninhabitable no-places in cities everywhere),
and it requires help: we need allies in inhabitation.

Fortunately, we have at hand many allies, if only we call on them;
other upright objects, from towers to chimneys to columns,
stand in for us in sympathetic imitation of our own upright stance.
Flowers and gardens serve as testimonials to our own care,
and breezes loosely captured can connect us with the very edge of the infinite.
But in the West our most powerful ally is light.
‘The sun never knew how wonderful it was,' the architect Louis Kahn said,
'until it fell on the wall of a building.'
And for us the act of inhabitation is mostly performed in cahoots with the sun,
our staunchest ally, bathing our world or flickering through it, helping give it light.
It comes with the thrill of a slap for us then to hear praise of shadows and darkness;
so it is when there comes to us the excitement of realizing that musicians everywhere
make their sounds to capture silence or that architects develop complex shapes just to envelop empty space.
Thus darkness illuminates for us a culture very different from our own;
but at the same time it helps us to look deep into ourselves to our own inhabitation of the world,
as it describes with spine-tingling insights the traditional Japanese inhabitation of theirs.
It could change our lives.

Charles Moore
School of Architecture, UCLA

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะพี่ที่เอามาแชร์กัน

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ที่จริงยังมีต่ออีกนิดหน่อยค่ะ...ง่วงซะก่อน ก็เลยเอามาลงให้ไม่หมด
เดี๋ยวจะค่อยทยอยลงให้นะคะ
...
ถ้าอ่านจบแล้ว...ได้อะไรจากหนังสือ 2 เล่มนี้มาเล่ากันบ้างนะคะ

suparp chaiporn กล่าวว่า...

ชอบมากค่ะคุณปุ๊ ที่ได้อ่านอะไรที่ถูกใจแบบนี้ เอามาลงต่ออีกนะคะ

"ความงามจากความไม่สมบูรณ์แบบมีเสน่ห์อย่างประหลาด.......และสิ่งใดเข้าใกล้ภาวะแห่งการสูญสลาย สิ่งนั้นยิ่งมีค่าความงาม......"
ใช่เลยค่ะ เป็นอย่างที่พี่คิด แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ มันหมายถึงไปได้ในหลายเรื่อง หลายสิ่ง แล้วแต่ประสบการณ์และจินตนาการของเรานะคะ
"ความงามนั้นไซร้ อยู่ในสายตาผู้มอง"
ขอบคุณค่ะที่เอามาแชร์

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ได้ค่ะ จะเลือกมาลงให้อ่านอีกค่ะ :)

innerfx . กล่าวว่า...

งำๆ

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

อ่า

suparp chaiporn กล่าวว่า...

ความหมายของวะบิ-ซะบิ ที่คุณปุ๊นำมาเพิ่มเติม ต้องอ่านซะหลายตลบเชียวค่ะ
ถ้าหากอ่านจากหนังสือเองจริงๆ พี่อาจจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ เพราะพยายาม
ทำความเข้าใจ แต่อ่านจากที่คุณปุ๊ถ่ายทอดรู้สึกถ้อยคำงดงามค่ะ

My name's PP .. กล่าวว่า...

เรื่องนี้จดๆจ้องๆอยู่เหมือนกันค่ะ

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ลองอ่านดูค่ะ ชอบไม่ชอบอีกเรื่องนึง อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิต
ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง

MOMO Bisalbutra กล่าวว่า...

ขอบคุณมากๆค่ะพี่ปุ๊ที่เอาเรื่องวะบิ-ซะบิ มาถ่ายทอดในฟัง

ความงามในแบบนี้ ถ้าเอ็มอ่านหนังสือวิชาการ..ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจได้รึเปล่านะคะ
แต่อ่านการ์ตูนเรื่อง Osen ของ SHOUTA KIKUCHI แล้วซาบซึ้งกับความงามและสุนทรียภาพแบบญี่ปุ่นจริงๆ

ถ้าพี่ปุ๊ไม่ถือว่ามันเป็นการ์ตูน...แนะนำให้ลองอ่านค่ะ ของไทยมีแปลออกมาแล้ว...ชื่อเรื่องติ๊งต๊อง...เนื้อเรื่องก็แอบบ้าบอแบบญี่ปุ่น...แต่เรื่องความซึ้งใจในความงามแบบญี่ปุ่นนี่เอ็มขอการันตีเพราะตัวเองอ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วอิ่มใจอย่างยิ่งยวดค่ะพี่ปุ๊ :)

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

ปกติพี่ก็ชอบอ่านการ์ตูนอยู่แล้ว
จะลองหามาอ่านค่ะ :)

MOMO Bisalbutra กล่าวว่า...

http://www.ned-comics.com/book_inside.php?bkid=1074&isbn=974-254-113-2

...ออกมา 6 เล่มแล้วค่ะ :)

พระจันทร์ - กล่าวว่า...

เจ๊สาวจ้าวตำรับ 001
...
แหม...ตั้งชื่อซะ มีแข่งทำอาหารเหมือนในการ์ตูนช่อง 9 ป่าวเนี่ย!!
(เพิ่งเห็น เอ็มนอนดึกจัง)

MOMO Bisalbutra กล่าวว่า...

ฮ่าๆๆ ชื่อมันทำให้ไม่ค่อยอยากอ่านเน๊อะ

จริงๆมันก็เกี่ยวกับเรื่องอาหารด้วยค่ะ ...แต่เรื่องความงาม ความสุนทรีย์ก็เต็มเปี่ยมนะคะ :)

R@y Ray กล่าวว่า...

ผ่านเข้ามาอ่าน
ชอบมากเลยครับ อ่านแล้วเข้าใจ วะบิซะบิ ขึ้นอีกเยอะเลยครับ