
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” (Royal Roads) หรือ “ถนนราชดำเนิน” แห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือเส้นทางที่เชื่อมโยงบ้านเมืองและกลุ่มอารยธรรมเขมร หรือขอมโบราณ อันเป็นบรรพบุรุษ “ร่วมสายเลือด...ร่วมแผ่นดิน...ร่วมอารยธรรม” ของไทยในอดีต...และปัจจุบัน...
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงโปรดให้สร้างถนนหลวง ๕ สายขึ้น และให้จัดสร้าง “อโรคยศาลา” หรือโรงพยาบาล และ "วหนิคฤหะ" หรือบ้านมีไฟ-ธรรมศาลา เพื่อเป็นที่พักคนเดินทาง หรือป้อมตรวจการระหว่างถนนไว้ตลอดเส้นทางสาย “ราชมรรคา”
บทจารึกปราสาทพระขรรค์ ระบุว่ามี "อโรคยาศาลา" ทั้งหมด ๑๐๒ แห่ง และ "วหนิคฤหะ” จำนวน ๑๒๑ แห่งบนเส้นทางทั้ง ๕ สาย ที่สร้างจากเมืองพระนครธม ศูนย์กลางแห่งอาณาจักร สู่เมืองราชธานีต่างๆ ในอดีต เส้นทางราชมรรคาสายเหนือ ถนนหลวงจากเมืองพระนครธม สู่ราชธานีที่เมืองพิมาย ตัดผ่านแนวเขาพนมดองเร็ก (พนมดงรัก) ผ่านทุ่งกว้าง สู่ดินแดนที่ราบสูงในภูมิภาคอีสานใต้ มีธรรมศาลา-บ้านมีไฟ ปรากฏเฉพาะตรงบริเวณช่องตาเมือน เชื่อมต่อเป็นธรรมศาลา ๙ หลัง ในฝั่งไทย และอีก ๘ หลัง ในฝั่งกัมพูชาเรียงเป็นเส้นตรงตามแนวภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน...
ตรงตามจารึกปราสาทพระขรรค์ (ราวพุทธศักราช ๑๗๓๔) บทหนึ่งที่ระบุว่า...
“...จากราชธานี (เมืองยโศธรปุระ) ไปยังเมืองวิมาย (พิมาย)
(มี) ที่พักคนเดินทางพร้อมด้วยไฟ ๑๗ แห่ง...”
นักวิชาการสุดกู่ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “การมีอยู่จริง” ของ “เส้นทางราชมรรคา” ตามบันทึกของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส...
แต่นักโบราณคดีนอกกรอบ เชื่อว่า “เส้นทางราชมรรคา” นั้นมีอยู่จริง ตรงตาม “จารึก” ในปราสาทพระขรรค์ มีหลักฐานยืนยันจากการลงสำรวจพื้นที่จริง มีร่องรอยของอารยธรรมปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน
คือรูปแบบ “สถาปัตย์ปราสาท” ของธรรมศาลา-บ้านมีไฟ (Dharma-sala) หรือที่พักคนเดินทาง สิ่งก่อสร้างที่ควบคู่กับถนนสายราชมรรคา
และอโรคยศาลา (Arogaya-sala) หรือโรงพยาบาล สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในแหล่งชุมชนโบราณ หรือสรุก โดยมีอาคารปราสาทที่สร้างด้วยศิลา ที่เรียกว่า “สุคตาลัย” (Chapel of Hospital) เป็นประธานของโรงพยาบาล ยังคงหลงเหลืออยู่ตามจารึก...
เป็นบทคัดย่อที่คุณอะหนึ่งแห่งโอเคเนชั่นได้อ้างอิงจากหนังสือ : เนะขแมร์ อินไทยแลนด์
สำหรับท่านที่สนใจ เส้นทางสายราชมรรคา โดยละเอียด โปรดอ่านต่อที่...
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” ธรรมศาลาจากพระขรรค์สู่วิมายะปุระ
โดย : วรณัย พงศาชลากร (อ.ศุภศรุต)
...
สำรวจปราสาทตาเมือนจังหวัดสุรินทร์
แผนการเดินทางถูกเขียนลงสมุดบันทึกก่อนออกเดินทางไม่กี่ชั่วโมง
แผนที่...เส้นทางหลวงราชมรรคา จากพิมายสู่พระนครธม...และภาพ Sketch ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ
ถูกเขียนขึ้นอย่างหยาบๆ อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยให้อะไรๆ มันดูง่ายขึ้นในการจดจำ
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่เช้า ตกเย็นฝนกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา การได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมือง...ห่วยแตก...ขนาดนี้ ทำให้ลืม สิ่งที่ขัดหูขัดตาไปได้บ้าง...ชั่วขณะก็ยังดี
เราเดินทางมาถึงสุรินทร์ตอนสายๆ ของเช้าวันเสาร์ ข้าวเช้าตกถึงท้องในเวลาใกล้เที่ยงวัน การเดินทาง...Late...ไป 4 ชั่วโมง!! ไปถึงปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทบ้านระแงงก็ช่วงบ่ายแก่ๆ ว่ากันว่าที่นี่มีนางอัปสราที่ไม่ธรรมดา ให้เราได้ดูกัน ทริปนี้เราได้อาจารย์วรนัย พงศาชลากร ผู้เขียนเนะขแมร์อินไทยแลนด์เป็นผู้บรรยายตลอดการเดินทาง
ปราสาทศีขรภูมิ(ปราสาทบ้านระแงง)
...ไปดูนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงงกัน...
ทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราช
...
นางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง
โดย สุวัฒน์ แก้วสุข
ถ้าเราแวะไปเยี่ยมชมปราสาทบ้านระแงง(อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์) แล้วหยุดมองไปด้านหน้าปราสาทจะพบว่ามีรูปจำหลักภาพนางอัปสรสองนางยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูเทวาลัย หากสังเกตให้ละเอียดขึ้นก็จะเห็นอีกว่า มือข้างหนึ่งของนางอัปสรถือดอกบัว อีกข้างดูคล้ายรั้งผ้านุ่งที่ขมวดใต้สะดือ มีนกตัวหนึ่งเกาะนิ่งบนไหล่
ส่วนทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราชที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในประเทศไทย
ในความรู้สึกของผมนั้น นางอัปสรากำลังยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะอวดด้วยความภาคภูมิใจว่า เธอได้เฝ้าปรนนิบัติแด่องค์พระศิวะ มหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวสถาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราสาทบ้านระแงงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระศิวะและชุมชนโบราชที่อยู่บริเวณนี้ ก็ต้องยอมรับนับถือคติแบบไศวนิกายให้เป็นศาสนาของผู้คนพลเมืองมาก่อนอย่างแน่นอน
ไศวนิกายคือการบูชาและยกย่องพระศิวะหรือพระอิศวรให้เป็นใหญ่เหนือเทพทั้งปวง ตามความเชื่อในลักธิพราหมณ์ ซึ่งนับถือเทพเจ้ามากมายเป็นร้อยเป็นพัน
หากมองในแง่ศิลปะแล้ว การจำหลักภาพนางอัปสรของที่นี่ถือเป็นงานฝีมือชั้นครู ทำได้อย่างงดงามและปราณีตบรรจงไม่ด้อยกว่าที่ใด ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ศิลปะที่มีอายุนับพันปีอย่างนี้คงไม่ได้ทำขึ้นเพียงเพื่อมุ่งให้แลดูสวยงามอย่างเดียวเป็นแน่
ผมไม่เคยเห็นนางอัปสรในท่วงท่าลักษณะนี้มาก่อน เท่าที่ตระเวณดูปราสาทเขมรโบราณ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในอีสานก็มีไม่กี่แห่ง ที่ยังพอจะเหลือรูปนางอัปสรให้เห็นกันอย่างชัดๆ กลายเป็นของหาดูยากไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ การปรากฏภาพจำหลักนางอัปสรยืนเฝ้าปราสาทระแงง จึงมิใช่เป็นเรื่องธรรมดา จะเพียงชื่นชมว่าสวยแล้วจากไปเฉยๆ คงไม่อาจทำได้
ถ้าใครเคยไปเที่ยวนครวัดของกัมพูชาจะประจักษ์ด้วยตัวเองว่า เฉพาะที่นครวัดแห่งเดียวก็ดาษดื่นไปด้วยรูปจำหลักนางอัปสรจนตื่นตาตื่นใจไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนเป็นต้องเห็นนางอัสรสถิตอยู่บนทับหลัง ซุ้มประตู ผนัง หน้าบัน ฯลฯ แทบไม่มีซอกมุมใดไร้เงานางอัปสรเลย
นักโบราณคดีตรวจนับรูปนางอัปสรที่นครวัดได้มากมายถึง ๑๖๓๕ นาง บางคนยืนยันว่ามีมากกว่านั้น ชาวกัมพูชาเรียกนางอัปสรว่า "อัปสรา" (Apsara) เป็นคำเดียวกันกับภาษาไทย ("อัปสร" เป็นคำสันสกฤต ถ้าเป็นบาลีจะใช้คำว่า "อัจฉรา")
นางอัปสร หรือ "อัป-สะ-รา" เป็นใครมาจากไหนหรือ?
คำตอบเรื่องนี้เห็นจะต้องย้อนยุคไปไกลร่วม 3000 ปีและไกลถึงชมพูทวีป ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมโบราณที่เราสืบทอดมานับร้อยชั่วอายุคน
คัมภีร์ปุราณะ ซึ่งเขียนขึ้นในยุคมหากาพย์ของอินเดีย (ช่วงเดียวกับวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะ) มีเรื่องราวตอนหนึ่งเกี่ยวกับการเกิดของนางอัปสร เนื้อหาสาระค่อนข้างจะพิสดารตามแบบนิยายปรัมปราทั่วไป เรื่องมีอยู่ว่า ในกาลหนึ่ง เทพยากับอสูรได้ร่วมกันทำน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะไม่รู้จักตาย พิธีนี้เรียกว่า "กวนเกษียรสมุทร" มีพระนารายณ์เป็นผู้ควบคุมการทำพิธีดังกล่าว
กรรมวิธีการทำน้ำอมฤตนี้ต้องใช้พญานาควาสุกรี(เป็นนาคห้าหัว)ทอดตัวรัดพันรอบภูเขามัณธระ(คือเขาพระสุเมรุ ซึ่งก็คือยอดเขาหิมาลัย) พวกอสูรช่วยกันจับลำตัวส่วนหัว พวกเทวดาจับตรงหาง ดึงกันไปดึงกันมาอยู่คนละฟาก ภูเขาที่อยู่ตรงกลางจึงกวนมหาสมุทรเป็นวังวน
ระหว่างทำพิธีอยู่นั้นเกิดดเหตุไม่คาดฝัน ภูเขามัณธระได้ถล่มลงมาน้ำอมฤตที่ว่าจึงหายไปอยู่ใต้ภูเขา ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างเป็นเต่า แหวกว่ายลงไปใต้สมุทรเพื่อหนุนเขามัณธระขึ้นมา ขณะที่ยักษ์กับเทวดาชักดึงนาคไปมาจนทะเลปั่นป่วนนั้น นางอัปสรก็ผุดขึ้นมาประดุจฟองคลื่น จึงกล่าวได้ว่าพวกเธอคือนางฟ้าที่จุติจากน้ำในมหาสมุทรนั่นเอง
เรื่องราวเหล่านี้เป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ ไม่ใช่ตำนานที่เขมรหรือไทยเขียนขึ้นมาแต่อย่างใด ว่ากันส่านางอัปสรองค์แรกที่จุติขึ้นมาคือ "พระลักษมี" ผู้ซึ่งต่อมาเป็นฉายาของพระนารายณ์ ซึ่งก็เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนจำนวนมากเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี มหกรรมเทวดากับยักษ์ช่วยกันกวนน้ำทิพย์นี้จบแปลกๆ เพราะเมื่อได้น้ำอมฤตสมดังตั้งใจแล้ว แทนที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรม พวกเทวดากลับใช้เล่ห์ดื่มกินเองฝ่ายเดียวไม่ยอมแบ่งปันแก่อสูร บรรดาเหล่าเทวดาทั้งหลายจึงอยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะแต่ฝ่ายเดียว ส่วนอสูรก็อกหักไปตามระเบียบ บางตำราถึงกับบอกว่าเพราะการที่ได้ดื่มน้ำอมฤตนี้เองทำให้เทวดาสามารถขับไล่อสูรลงจากสวรรค์ได้สำเร็จ
พิธีกวนเกษียรสมุทร เรียกตามโบราชราชประเพณีของไทยว่า "ชักนาคดึกดำบรรพ์" เป็นพิธีสรรเสริญยกย่องกษัตริย์เป็นเสมือนเทพ อยุธยารับสืบทอดมาจากพราหมณ์ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่อครั้งไปตีได้กรุงกัมพูชา ที่นครวัดก็สลักภาพพิธีกรรมนี้ไว้บนผนังศิลายาวร่วม ๕๐ เมตรเป็นรูปยักษ์และเทวดาจำนวนนับร้อยกำลังชักนาคดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่โตโอฬารที่สุดที่มนุษย์ทำขึ้นมา
มีผู้สันนิษฐานว่าคำ "ดึกดำบรรพ์" น่าจะเพี้ยนมาจากภาษาเขมรว่า "ตึ๊กตระบัล" แปลว่าตีน้ำหรือกวนน้ำ ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ดังนั้นหากได้ยินใครพูดถึงสมัยดึกดำบรรพ์ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านั่นย่อมหมายถึงยุคโบราณจริงๆ ตั้งแต่ครั้งที่ยัง "ตีน้ำ" กวนเกษียรสมุทรเอาเลยทีเดียว
ตรงห้องอาคารผู้โดยสารในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของเราก็มีการสร้างประติมากรรมขนาดใหญ่จำลองการกวนเกษียรสมุทรแบบนี้ไว้ให้ฝรั่งต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยได้เห็น แต่จะเข้าใจเรื่องราวมากน้อยเพียงใดก็ยากที่จะทราบได้
สรุปแล้วภาพจำหลักนางอัปสรที่มีอยู่ตามโบราณสถานเขมรพอจะแยกได้เป็นสองลักษณะคือ รูปยืนเต็มตัว เป็นเทพประจำเทวสถานอย่างที่ปราสาทบ้านระแงง อีกลักษณะหนึ่งอยู่ในท่ารำฟ้อนหรือเหมาะเหินเดินอากาศเป็นนางอัปสรที่กำลังเคลื่อนไหว ซึ่งพบเห็นมากตามทับหลังหรือหน้าบัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นนางอัปสรกลุ่มใด หากสังเกตเสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งองค์ทรงเครื่องตลอดจนผ้านุ่ง สร้อยคอ กำไลมือ รัดต้นแขน ต่างหู ชฎา การเกล้าผมหรือกระทั่งหน้าตาท่าทาง ก็จะพบความแตกต่างไปตามยุคสมัยและความนิยมของแต่ละท้องถิ่น อาจมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความเป็นสตรีที่งดงาม สูงศักดิ์และ
เย้ายวน ตรงนี้ผู้สร้างคงมิได้มีเจตนาจะให้เป็นหญิงชาวบ้านสามัญชน น่าจะเป็นความคิดฝันของคนในสมัยนั้นถึงเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่คอยเฝ้าบำเรอความสุขแด่เทพผู้เป็นใหญ่มากกว่า
บรรดานาฏศิลป์แขนงต่างๆ ที่ตกทอดมายังสุโขทัย อยุธยา จนถึงปัจจุบัน ก็ล้วนแต่มีพื้นฐานอันเกี่ยวโยงกับนางอัปสร ไม่ว่าท่าหรือการแต่งกาย มีการจัดลำดับความสำคัญไว้ชัดเจน เช่น การเล่นโขนรามเกียรติ์ถือเป็นของสูง ในขณะลิเกและเซิ้งทั้งหลายเป็นการละเล่นของชาวบ้าน ไม่ปะปนกัน
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเกี่ยวกับนางอัปสรเหล่านี้ทำให้ต้องยืนยันว่านางอัปสรไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพจำหลักอันไร้จิตวิญญาณ แต่ในความเป็นจริงพวกเธออยู่ใกล้ชิดกับเราอย่างยิ่งและอยู่ในวัฒนธรรมของเรามาอย่างมั่นคงชั่วนาตาปีแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางอัปสรที่ปราสาทบ้านระแงง อ.ศีขรภูมิ จึงไม่ธรรมดา
...
...
ปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทระแงง เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ประกอบด้วยปรางค์ก่ออิฐจำนวน ๕ องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง ๒๕ เมตร โดยมีปราค์ประธานอยู่ตรงกลางและปราค์บริวาร ๔ องค์ล้อมอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
ทับหลังของปรางค์ประธานจำหลักเป็นรูปศิวนาฏราชยืนอยู่บนแท่นมีหงส์แบก ๓ ตัว อยู่เหนือเศียรเกียติมุข สองข้างประตูทางเข้า จำหลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว ด้านข้างจำหลักลายก้ามปูและทวารบาลยืนถือกระบอง
ที่ปรางค์บริวารพบทับหลัง ๒ ชื้น เป็นเรื่องกฤษณาอวตาล ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบช้างและคชสีห์ อีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบคชสีห์ ที่ปรางค์บริวารทิศตะวันออกเฉียงใต้ พบจารึกหินทรายที่กรอบประตู เป็นจารึกอักษรธรรม กล่าวถึงพระเถระผู้ใหญ่และท้ายพระยาร่วมกันบูรณะศาสนสถานแห่งนี้
...บทความเรื่องนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง จากหนังสือ...สุรินทร์สโมสร...
ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๐)
ขอขอบคุณหนังสือที่ทางสุรินทร์สโมสรมอบให้ด้วยนะคะ
ทวารบาลยืนถือกระบอง
...
หลังจากที่อาจารย์วรนัยอธิบายภาพจำหลักทั้งหมดเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไปดูกลุ่ม...ปราสาทตาเมือน และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ทหารชายแดนที่ดูแลปราสาทตาเมือนธมด้วย
ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๒)
13 ความคิดเห็น:
เข้ามาอ่านเส้นทางสายราชมรรคา ค่ะ!!!
น่าสนใจ ยิ่ง บ้านมีไฟยิ่งน่า
น่าสนใจยิ่งนัก
ภาพนี้น้องชอบนักท่าน
จะพยายามอัพเรื่อยๆนะคะ ข้อมูลมันเยอะ แต่ใช้เน็ตเต่า ไม่ Work เลย :(
สนุกดีจัง
อยากเกิดเป็นนางอัปสรามั่ง
อยากโนบรา
นางอัปสราเกือบทุกแห่งว่ากันว่า...โดนลูบคลำ...จนขึ้นเงา
ฮุฮุฮุ
กุศลคงจะแรง
555...เค้าว่ากันว่าอีกที
ส่วนใหญ่ที่ไปคลำเป็น...ผู้หญิง
เท็จจริงเป็นยังไง...ไม่รู้ค่ะ
ชอบโบราณสถานมากค่ะ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปไหน
สวยจริงๆ ถ้าไปเห็นของจริงคงน่าตื่นตานะคะ
เรื่องราวที่ได้อ่านเป็นความรู้ใหม่ ขอบคุณค่ะ
พี่ต้อยลองหาโอกาสไปสักครั้งนะคะ แต่ถ้าไปโดยที่ไม่มีผู้รู้คอยบรรยายให้ฟัง
ก็ต้องหาข้อมูลอ่านก่อนค่ะ จะได้เข้าใจและจะสนุกไปกับการ...ดูหิน...ที่มีเรื่องราว
ซ่อนอยู่ค่ะ
ปลายเดือนนี้พี่จะประเดิมโดยการไปสุโขทัยก่อนค่ะ ใกล้บ้านดี
แล้วค่อยๆขยับไปจนกว่าจะถึงที่คุณปุ๊ได้ไปเยือนมาแล้ว..
ที่สุโขทัยเคยไปนานมากแล้ว อยากไปอีกค่ะ อยากไปลอยกระทงที่สุโขทัย
แต่ต้องหาหนุ่มไปเป็นเพื่อนให้ได้ก่อน 555
แสดงความคิดเห็น