วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ว่าจะไม่แล้วเชียว

ได้รับ...Fw. เมล์ฉบับนี้มา ตอนนี้เรื่องนี้กำลังอยู่ในความสนใจของตัวเองพอดี ในฐานะที่เป็นเด็กหลังรามมาก่อน ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แถวรามมาเกือบ 10 ปี เดินเข้าออกรามคำแหงทุกวัน ไอคำขวัญที่ติดไว้ที่กำแพงด้านหน้ามหาลัยนะ...เห็นจนมันซึมเข้าไปในสมอง

ฉันเยาว์...ฉันเขลา...ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

 เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้งหรือจึงมุ่งมาศึกษา
เพียงเพื่อปริญญาเอาตัวรอดเท่านั้นฤๅ
แท้ควรสหายคิดและตั้งจิตร่วมยึดถือ
รับใช้ประชาคือปลายทางเราที่เล่าเรียน

...

ลืมแล้วหรืออย่างไรท่านอธิการบดี?

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี...หายไปไหนหมด

หรือท่านสะกดคำพวกนี้ไม่เป็น

เดี๋ยวนี้รามคำแหงผลิต...ด๊อก...(เตอร์)กันแบบนี้แล้วเหรอ...เวรแท้ๆ

...

เอ่อ...วันนี้ขอบ่นหน่อยนะคะ...ว่าจะไม่แล้วเชียว

   ไม่อยากเอาการเมืองมาปนกะงานอดิเรกที่แทบจะเป็นงานประจำในมัลติพลายนี้หรอกนะคะแต่รับไม่ได้เจง เจง  ตรูเรียนปริญาตรีแทบตายกว่าจะจบ ไอบ้านี่...เอาเงินยัด ก็ได้แล้ว ประเทศไทยหนอ ประเทศไทย

จดหมายจากเพื่อนร่วมรุ่น เป็ดเฉลิม
       มหาวิทยาลัยรามคำแหง
       หัวหมาก กรุงเทพฯ
       
     12
มิถุนายน 2551
       
       
เรื่อง ขอชี้แจงข้อเท็จจริงการได้มา ' ดร. ' ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
       เรียน คุณ สนธิ ลิ้มทองกุล และเพื่อนพันธมิตร
       
       
ด้วยดิฉันและเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอก ( PhD) ม.รามคำแหง รุ่น 1 เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ขอร่วมให้ข้อมูลจะได้เข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่า ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ได้ ' ดร. ' มาอย่างไร
       
       
ประเด็นที่ 1. ไม่เคยมานั่งเรียนเลย แต่สอบผ่านทุกวิชา
       วิชาบังคับ ( Course-work) 4 วิชา เรียน 1 ปีเต็ม ดิฉันและเพื่อนมาเรียนทุกครั้งไม่เคยเห็นหน้า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเข้าเรียนเลยแม้แต่ Class เดียว ( ตามระเบียบขาดเรียน 3 ครั้งไม่มีสิทธิสอบผ่านวิชานั้น)
       
       
ประเด็นที่ 2. ใช้อภิสิทธิ์ในการสอบเหนือนักศึกษาปริญญาเอกทั่วไปทุกครั้ง
     - คณะอาจารย์ที่ปรึกษาของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุงเท่านั้น เป็นอาจารย์ที่จบปริญญาโทเป็นที่ปรึกษา ( ตามระเบียบที่ปรึกษานักศึกษาปริญญาเอกต้องเป็นอาจารย์ที่เป็น ดร.เท่านั้นถึงจะสง่างามและเป็นที่ยอมรับของสังคมนานาชาติ)
     - ในการสอบนำเสนองานวิจัยต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 คนมาสอบ ( ตามระเบียบสภามหาวิทยาลัย) แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงใช้ผู้ทรงคุณวุฒิคนเดียวเท่านั้น ดิฉันและเพื่อนๆ ได้เข้าไปดูการสอบในวันนั้นไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรทั้งที่ผิดระเบียบ
     - ในการสอบทุกครั้ง นักศึกษาต้องเสนองานวิจัยด้วยตนเองเท่านั้น แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงคนเดียวที่ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่เป็น ต้องเอาผู้ช่วยมาช่วยกด PowerPoint แทน ซึ่งเป็นการผิดระเบียบในการสอบ นักศึกษาทั่วไปทำไม่ได้
       
       
ประเด็นที่ 3. ในการสอบภาษาอังกฤษ
       ดิฉันและเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอกทุกคนรุ่นเดียวกันไม่เคยเห็น ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง มาสอบภาษาอังกฤษทั้ง TOEFL และ RU. Test ไม่รู้ว่าเขาสอบผ่านมาได้ตอนไหน ทุกคนงงทั้งรุ่นเลยค่ะ ( ตามระเบียบนักศึกษาปริญญาเอกทุกคนต้องสอบผ่านภาษาอังกฤษจึงจะจบเป็น ดร. ได้)
       
       
ประเด็นสุดท้าย จบไม่ได้ ย้าย ผอ.โครงการเลย
       หัวข้อดุษฎีนิพนธ์ ของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เรื่อง ' ปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว. ศึกษากรณีอำนาจหน้าที่ กกต. ' งานวิจัยนี้เป็นเรื่องด่า กกต. ล้วนๆ ทั้งหมด 277 หน้า งานวิจัยนี้ไม่ถูกต้องตามระเบียบวิธีวิจัย ผอ.โครงการเห็นว่างานไม่สมบูรณ์ ไม่ให้ผ่านโดยให้ไปแก้ไขหลายครั้ง แต่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ไม่พอใจ ได้ร่วมมือกับอธิการบดี ( รังสรรค์ แสงสุข) เปลี่ยนตัว ผอ.โครงการปริญญาเอก หลังจากนั้นไม่นาน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงก็จบ ดร.ได้อย่างสมใจ
       
       
ดิฉันและเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอกรุ่น 1 ทุกคนมีวุฒิภาวะและศักยภาพในอาชีพการงานทุกคน ทั้งข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารในองค์กรเอกชน ขอบอกความจริงว่าทั้ง 4 ประเด็นที่กล่าวมา เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นของ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ในโครงการปริญญาเอกของมหาวิทยาลัย
       
       
นักศึกษาปริญญาเอก รุ่น 1 ม.รามคำแหง
       ปัญญาชนที่รักประเทศชาติและความเป็นธรรม

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

จูบ...เย้ยจันทร์

ฝนตกรถติดกับ BESAME MUCHO

 

           บรรยากาศวันนี้เหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเลย  ฝนตกหนักมากๆ ทำให้อดคิดถึงเรื่องราวเมื่อวานไม่ได้   ช่วงค่ำมีนัดเมากันที่บบล. หลังจากทำธุระเสร็จช่วงเย็น  นั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สยามกะว่าจะนั่งแท็กซี่ต่อไปพระอาทิตย์  น่าจะเป็นการเดินทางที่สะดวกสุดแล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมไปเลย เริ่มเซ็งแล้ว ฝนเริ่มตกปรอยๆ แป๊บเดียวเท่านั้น ตกหนัก รถเริ่มติด ตัดสินใจหันหลังกลับไปเดินดูของในสยาม พอฝนเริ่มซาก็ไปเรียกแท็กซี่ใหม่  เหมือนเดิม ไม่มีคันไหนยอมไป  (แล้วมานนนจะมาขับแท็กซี่หาพระแสงไรว่ะเริ่มหงุดหงิดแระ) ผ่านไปร่วมชั่วโมง ตัดสินใจ

นั่งรถเมล์ไป เพราะถ้ารอรถแท็กซี่ รอทั้งคืนก็ไม่ได้ไปแหงๆ นั่งรถไปไม่นาน ก็มีผู้ชายฝรั่งห่ามๆ 2 คน  ขึ้นรถมา แล้วเข้ามานั่งใกล้เรา  แล้วก็คุยกันเองเสียงดังลั่น  เดาจากภาษาคิดว่าน่าจะเป็นพวกอิตาลีหรือไม่ก็พวกฝรั่งเศส  ฝนก็ตกรถก็ติดยังจะมาเจอฝรั่งเม้าท์แตกบนรถเมล์อีก 

          สักพักหลังจากเม้าท์ได้ที่แล้ว  ฝรั่งห่ามๆ หนึ่งในนั้นก็เปล่งเสียงออกมา    Bésame, bésame mucho   คราวนี้ ลูกคู่ก็ไม่คอยทำนองแล้ว ร้องตามมา   Como si fuera estanoche   La última vez

อารมณ์ตอนนั้นมันปนๆกันบอกไม่ถูกทั้งฉุนที่เสียงดังโวยวายทั้งขำที่ดันมาร้องเพลงที่เราชอบอีก อยากถามเหมือนกันว่าอยากได้คอรัสเพิ่มอีกสักคนมั๊ย(เกือบแระ)

ระหว่างที่นั่งทานข้าวที่บบล. เพลง  BESAME MUCHO ก็ดังขึ้นมา  วันนี้คงเป็นวันพิเศษจริงๆแหละ ไม่งั้นคงไม่ได้ยินเพลงนี้ต่างเวลาต่างสถานที่ ต่างคนร้อง ที่บรรยากาศมันต่างกันสุดขั้วได้ขนาดนี้  ภายในเวลา ไม่ถึง 3 ชั่วโมง   จากนั้นก็บลาๆๆๆ  เมา 

            ตอนเช้าตื่นขึ้นมา เพิ่งจะรู้ความหมายของคำว่า"Bésame Mucho"

" Bésame Mucho " is also known by translated names such as "Kiss Me Much",  "Kiss Me a Lot", "Kiss Me Again and Again",

 

            หุหุ ไอฝรั่งบ้าสองคนนั่นมันร้องเพลงจูบเย้ย(พระ)จันทร์นี่หว่า

 

 

 

BESAME MUCHO

Bésame, bésame mucho
Como si fuera esta noche
La última vez
Bésame, bésame mucho
Que tengo miedo a perderte
Perderte después

Bésame, bésame mucho
Como si fuera esta noche
La última vez
Bésame, bésame mucho
Que tengo miedo a perderte
Perderte después

Quiero sentirte muy cerca
mirarme en tus ojos verte junto a mí
Piensa que tal vez mañana
yo ya estare lejos, muy lejos de ti

Bésame, bésame mucho
Como si fuera esta noche
La última vez
Bésame, bésame mucho
Que tengo miedo a perderte
Perderte después

Que tengo miedo a perderte
Perderte después


Lyric : Besame Mucho


- Spanish lyrics written by Consuelo Velasquez


 

http://phrachan.multiply.com/music/item/150/BESAME_MUCHO

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

จากบันทึกคนลืมตัวถึง...บันทึกของพระจันทร์




...
Photobucket
...
Photobucket
...
จากปี 2532 ที่บันทึกคนลืมตัววางจำหน่าย ได้ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ความฝันที่จะเรียนต่อด้านศิลปะถูกระงับไม่ให้เรียนทั้งๆที่ได้โควต้าเรียนต่อด้านนี้ หลังจากเรียนจบ ก็ไม่มีโอกาสได้จับพู่กันวาดรูปอีกเลย ด้วยเงื่อนไขต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนถึงปี 2551 ด้วยจังหวะของเวลาทำให้ได้มีโอกาสไปลองค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง…(เผื่อจะเจอ!!) หลังจากที่หลุดพ้นวงโคจรของมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไม่ต่างอะไรกับ…เครื่องจักร…ที่ได้พักก็ต่อเมื่อมีใครมาถอดปลั๊กให้

จาก Workshop สีน้ำ 2 วัน 1 คืน สิ่งที่ได้กลับมานอกเหนือจากการไปค้นหาตัวเองแล้ว กลับได้เพื่อนมาอีกหลายคนที่มีความชอบคล้ายกันทั้งในเรื่องของสีน้ำและถ่ายรูป จนมีบางคนถึงกับเอ่ยปากขึ้นมาว่า…เรามาวาดรูปหรือมาถ่ายรูป…กันนี่


มองเขา มองเรา เรียนรู้
มองดู ขุ่นข้อง มองเห็น
อกเขา อกเรา เคยเป็น
น้ำเย็น ให้เป็น น้ำใจ

มองคน มองผ่าน สายน้ำ
ใจงาม น้ำสวย สดใส
ใจขุ่น น้ำคล้ำ ตามใจ
น้ำใส น้ำใจ ใสตาม

บางส่วนจากบทกวี…โลกดูสดใส…ในสายตาเรือ

งานเขียนชุดนี้น่าจะบอกความเป็นตัวตนของพี่เป้ได้มากที่สุดมั๊งคะ
.
.
วันนี้กลับมาอัพรูปต่อ ก็เลยอยากเล่าบรรยากาศของการเรียน การสอนให้ฟังบ้างเผื่อใคร
สนใจอยากเรียน วันนั้นเราออกเดินทางโดยรถตู้ที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้ โดยไป
ขึ้นรถที่สถานีสามเสน บริเวณลานจอดรถหน้าร้านอาหารโบกี้

อย่าถามนะว่าไปเส้นไหนเพราะจำไม่ได้ รู้แต่ว่าพอเข้าศาลายาผ่านมหาลัยมหิดล ก็เลี้ยวซ้าย(มีป้ายเขียนว่าบางเลนปักอยู่) เจอสถานีตำรวจพุทธมณฑลก็เลี้ยวขวา แล้วก็ขับมาเรื่อยๆประมาณอีกอึดใจแม้วเหนื่อยก็ถึงแระ ทางเข้าบ้านริมน้ำสองข้างทางเป็นสวนและนาข้าว พอไปถึงก็มีอาหารเช้าเตรียมไว้ให้ ระหว่างรอทานข้าวเช้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อย

สิ่งที่ดึงดูดใจอย่างแรกคงจะเป็นบริเวณท่าน้ำที่มีผักตบชวาลอยมาเป็นระยะๆ อากาศที่นี่ดีมากๆ เพลินกับบรรยากาศได้แป๊บเดียวก็ได้ยินเสียงดำผุดดำว่าย หันไปดูใคร(ฟระ) มาว่ายน้ำเล่นแต่เช้า ก็ไม่ได้สนใจ เดินไปถ่ายรูปวาดบ้านริมน้ำที่ติดอยู่เหนือประตูทางเข้าห้องอะไรสักอย่าง ยืนดูลายเซ็นผู้มาร่วมงาน Painter Party มีนักเขียนชื่อดังจิระนันท์ พิตรปรีชา,เพลงดาบฯ ฯลฯ

สักพักก็หันกลับไปดูคนที่ดำผุดดำว่ายที่ไม่มีทีท่าจะขึ้นฝั่ง อ้าว...เฮ้ย หน้าคุ้นๆ ใครหว่า นึกไม่ออก เดินกลับมานั่งนึกต่อที่โต๊ะทานข้าว ไม่ถึงอึดใจก็เห็นคนที่ดำผุดดำว่ายขึ้นฝั่งแว๊บเข้าไปในห้องที่มีรูปวาดบ้านริมน้ำแขวนอยู่ แป๊บเดียวก็กลับออกมา อ้าว...เฮ้ย คนที่จะมาสอนสีน้ำเรานี่หว่า...

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ก็เข้าสตู มีการแนะนำตัวกันนิดหน่อย Trip นี้มาเรียนกัน 9 คน มีคุณหมอ ,วิศวะสื่อสาร ,ทหารอากาศขาดรัก,สาวอักษร,สาวคอมฯ เสร็จแล้วก็เข้าสู่การเรียน

วาดภาพกิจกรรมเพื่อการค้นหาตัวเอง

วาดเส้น 1
การวาดเส้นจากประสาทสัมผัส (CONTOUR DRAWING)

วาดเส้น 2
การพิจารณาผลส้ม( น้ำหนัก 9 ระยะ )

น้ำหนักสร้างรูปทรง

วาดด้วยสีเดียว (MONOCHROME)

น้ำหนักของแสงและสี

ดูรายละเอียดได้จากเว็บพี่เป้
http://www.peseenam.com/teach/teach.php

นี้คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ภายใน 2 วัน ระหว่างที่อยู่ในช่วงวาดรูป ถ้าวันไหนพี่เป้ครึ้มอกครึ้มใจ ก็เล่นกีต้าร์ให้ฟังไปด้วย บางครั้งก็เอาเพลงชุดใหม่ที่กำลังอัดอยู่มาเล่นให้ฟัง

วันแรกหลังจาก Workshop เสร็จแล้ว พี่เป้ก็พาไปลุยสวน พาไปดูโลเคชั่นที่ใช้วาดรูป(ของพี่เค้า) บริเวณนั้นน้ำใสจริงๆ ระหว่างทางกลับ ผ่านนาข้าวสีเขียวสด เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะแบตใกล้หมด กลับถึงบ้านริมน้ำ ไปนั่งเล่น นอนเล่นริมท่าน้ำ น้ำใสน่าเล่นแต่ไม่มีชุดเปลี่ยนก็ได้แต่นั่งดูคนอื่นเค้าเล่นน้ำกัน คราวนี้ถ่ายจนแบตหมดเลยอดได้รูปตอนค่ำเลย

วันนี้กับข้าวมื้อเย็นอร่อยทุกอย่างเลย ทานจนอิ่ม สองทุ่มพี่เป้นัดให้มานั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำ
.
.
จำได้ว่าก่อนมา Workshop ก็แค่อยากจะหาที่สงบๆ ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง วาดรูปคือผลพลอยได้ ไม่คิดว่าจะมีใครมาตั้งคำถามว่า…ชีวิตคืออะไร
…ก็ตอบไปอย่างที่ใจคิดว่า…ไม่คิดว่าจะมีใครมาตั้งคำถามว่า…ชีวิตคืออะไร ก็เลยไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ (สมองเราคงว่างเปล่าซะจริงๆ)…
…บางคนบอกว่า…Life is Beautiful…(น้องพิณเป็นหมอ…มองชีวิตคือสิ่งสวยงาม)
…ชีวิตคือ…อิสระ มั๊ง(จำได้แค่นี้) เป็นคำตอบของน้องตาล สาวอักษรเอกปรัชญา
…ฯลฯ สมองกลวงจริงๆ จำไรไม่ได้แระ…รู้อย่างเดียวตอนนั้นยุงกัด…คันชมัดเลย
.
.
แล้วก็มาถึงคำถาม…ความรักคืออะไร
“ รักก็คือรัก ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย” เราตอบ
“ แล้วเคย…หมดรักมั๊ย…” พี่เป้ ถาม
“ เอ่อ…ไว้ให้เจอก่อน ถึงจะตอบได้ ” เราตอบ
“ แล้วเมื่อไหร่จะเจอ ” พี่เป้ถาม
“ อ่ะ…ถามงี้ก็สวยสิ” เราคิด แต่ไม่กล้าตอบ...555
“ แหม…ถ้ามันลอยมากลางอากาศได้ก็ดีสิ จะได้คว้าเอาไว้เลย
ความรักไม่ได้มีขายตามท้องตลาดนี่จะได้เลือกซื้อ เลือกหาได้ง่ายๆ ” อันนี้คือสิ่งที่ตอบกลับไป


ส่วนคนอื่นก็ตอบกันไปหลากหลาย…ตามทัศนะของตัวเอง เหมือนจะถามพี่เป้กลับไปบ้างเหมือนกันว่าความรักคืออะไร…ฟังคนมีประสบการณ์เรื่องความรักมาตอบ ก็มึนๆไปพอสมควร บ้างครั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่ที่รู้สึกเห็นด้วยก็คือ…ถ้าเราไปรักใครเข้า เราจะเสียความเป็นตัวตน และอาจจะถูกมองกลับมาเหมือนคนไม่มีตัวตน หมอพิณบอกว่าใช่แต่ผู้ชายที่จะเสียความเป็นตัวตน ผู้หญิงก็เช่นกัน…เวลาไปรักใครเข้าแล้วอาจจะเสียความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนคนที่ทำอะไรโง่ๆ แต่การที่เรายอมโง่ชั่วขณะก็ทำให้มีความสุขดี (ชอบคำพูดนี้มาก) เหมือนคนบ้าที่มีความสุขในโลกของตัวเองประมาณนั้น


หลังจากนั้นก็คุยไปเรื่อยเปื่อย…เรื่องเรือปโยชนม์ที่ซ่อมอยู่…เรื่องที่จะบวช (สึกหรือเปล่าก็ไม่รู้ หุ หุ)
เรื่องที่อยากวาดรูปแม่น้ำในไทยแบบ…Bird eye view…จนเวลาล่วงเข้าเที่ยงคืน พี่เป้บอกว่าไปล้างหน้าล้างตาแล้วมานั่งสมาธิสัก 10 นาทีดีมั๊ย! กลับมานั่งสมาธิโดยมีพระครู(เป้) เป็นผู้นำ มีการปิดไฟเพื่อให้ได้บรรยากาศ นั่งไปได้ไม่ถึง 5 นาทีกองทัพยุงก็แห่มาร่วมวงด้วย งานนี้ยุงอิ่ม ส่วนคน...สมาธิกระเจิง ไม่ต้องพิจารณง พิจารณากันแล้ว กว่าจะเสร็จ เที่ยงคืนครึ่ง แยกย้ายกันไปนอน

ที่พักจะเป็นบ้านไม้อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย บอกน้องที่นอนด้วยกันว่า…แปลกที่ขอเปิดไฟนอนละกัน สวดมนต์ไหว้พระอีกรอบขออย่าให้เจออะไรดีดีที่นี่เลย ยังไม่อยากเจอดี
.
.
เช้าวันอาทิตย์

วันนี้ตื่นเช้าผิดปกติ เมื่อคืนนอนไม่หลับตาค้างมาตั้งแต่ตี 3 ออกจากห้องพักมา เห็นแสงสีส้มสว่างไสวไปหมด พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น เดินตรงไปที่ท่าน้ำ มีคนตื่นเช้ากว่าเราอีก วันนี้สูดหายใจได้เต็มปอดอีกวันอากาศสดชื่นมากๆ เช้าวันนี้พี่เป้เข้าครัวดูแลเรื่องอาหารเอง คงเพราะเมื่อคืนโดนเราแหย่ไปว่าให้โชว์ฝีมือทำกับข้าวหน่อย…555 กับข้าวของพ่อครัวหัวป่า ลาภปากเลยเรา

วันนี้เรียนสีน้ำทั้งวัน ช่วงเช้าไม่มีสมาธิเท่าไหร่ อาจเพราะนอนน้อย แถมคันไปหมดทั้งตัว วาดรูปด้วยสีเดียว ทำไปเกาไป ออกมาเละใช้ได้ จนพี่เป้หน้ามุ่ย ถามว่าตอนทำคิดไรอยู่หรืออยากลองอะไรเองหรือเปล่า เราก็ตอบว่าเปล่าไม่ได้คิดไรเลย (อยากจะตอบว่าคันไปหมดทั้งตัว ไม่มีสมาธิวาดรูป แล้วก็อยากทำให้มันเสร็จๆ ไป…ประมาณว่าแก๊สโซฮอลซิผิด) ตอนบ่ายแก้ตัวใหม่ด้วยการลง 3 สี คราวนี้ดีขี้นมาหน่อย ขอไปแก้ตัวคราวหน้าละกันนะคะ…ครูขา

ช่วงเย็นจบคอร์สวาดสีน้ำ ลูกสาวคุณหมอเอาไวน์มาเปิดฉลองกัน ช่วงนั้นพี่เป้ก็วิจารณ์งานไปที่ละคนเสร็จแล้วก็คืนผลงานที่ทำมา 2 วันให้กลับมาชื่นชมที่บ้าน ก่อนกลับอุดหนุนหนังสือพี่เป้มา 2 เล่ม จากนั้นก็เดินทางกลับ…บ้านใครบ้านมัน
...
แด่เธอ...ผู้เป็นแรงบันดาลใจ

เธอคือแรง…บันดาลใจ…ในชีวิต
ที่ลิขิต…ฉันมา…เพื่อขีดเขียน
ค่อยค่อยร่าง…วาดความฝัน…หมั่นพากเพียร
ค่อยค่อยเรียน…สร้างสม…ประสบการณ์

เธอคือแรง…บันดาลใจ…ที่ละนิด
ต่อเติมติด…สิ่งที่ฝัน…วันที่ผ่าน
ร่างเป็นเส้น…แต้มสีสัน…เมื่อวันวาน
จนพบพาน…ภาพฝันนั้น…พลันเป็นจริง




ฝากรัก - เป้ สีน้ำ