วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฟ้าใสๆ




เหมือน...นก...ที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
.
ชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
...
Photobucket

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ท่าคา...ที่ยังท่าคอย




คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ริมน้ำ ที่มักจะชอบอะไรๆแบบนี้

ตลาดน้ำท่าคาเป็นตลาดนัดช่วงเช้าที่ชาวบ้านในระแวกนั้นนำสินค้า พืชผัก ผลไม้
มาขายบ้างก็แลกเปลี่ยนสินค้ากัน แต่จะมีเฉพาะวันขึ้นและแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ
ของทุกเดือน บรรยากาศการซื้อ-ขายจะต่างกับตลาดน้ำอัมพวาโดยสิ้นเชิง

อาจจะเนื่องด้วยตัวสินค้า ระยะทางที่ห่างจากอัมพวา ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็
ไม่สะดวกเอาทีเดียวกับอนาคตของตลาดน้ำที่ทางชุมชนของท่าคาคาดหวัง
จะให้มีเพิ่มขึ้นในช่วงเสาร์-อาทิตย์ (ช่วงเช้าถึงเที่ยง) จะเป็นไปได้แค่ไหน
และทำอย่างไรที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก

เพราะทุกวันนี้ทางชุมชนต้องใช้วิธีจ้างให้ชาวบ้านนำสินค้าลงเรือ มาขาย
ส่วนชาวบ้านเองก็กลัวว่าถ้าลงทุนไปแล้วไม่มีผู้ซื้อ

จริงๆแล้วอยากสนับสนุนให้คนในพื้นที่มีงานทำ สามารถประกอบอาชีพ
ค้าขายในระแวกบ้านตัวเองได้ ไม่ต้องไปไหนไกลบ้าน

แต่ถ้าทำแล้ว...อยู่ยาก อยู่ไม่ได้...ก็น่าเห็นใจ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แล้วเราก็เจอกันที่...อัมพวา




ผิดมั๊ยที่จะ...รักเด็ก
.
หนุ่มน้อยหน้ามล ลูกครึ่งไทย-อินโด นั่งตัวแข็ง
เป็นแบบให้วาด คนดูก็ลุ้นตัวโก่งว่าจะไปรอดรึเปล่า

โอย...ใจละลาย

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นานๆจะเห็นสักที




ในคืนที่หนาวเหน็บ...มองขึ้นไปบนฟ้า
เห็นพระจันทร์...แสยะยิ้ม...ให้กับประเทศไทยคับพี่น้อง
...
เอากะเค้าบ้าง :)

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บางที่...บางเวลา...กับบางน้อย




เรื่องของความเครียด ไม่เข้าใครออกใคร
แค่ได้มีที่...ซุกตัว...นั่งเงียบๆ ในที่ ที่ชอบ
ก็เพียงพอแล้ว
.
เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ จะถ่ายรูปตลาดน้ำให้ได้มากที่สุด
แต่ภาพที่ได้ออกมาไม่ได้อย่างใจทั้งเรื่องสีและความคมชัด
เสียดายมาก ที่พอจะดูได้ก็มีเท่านี้ล่ะ

ไว้เจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการ(เอ๊ะยังไง)
...
ถ่ายรูปคราวนี้ผิดหวังกะตัวเองมากๆ รูปเบลอ Noise กระจาย
กิเลสเกิด อยากได้ DSLR มั๊กๆ

น้องต่ายบอกว่า...อยากไปแต่ตัวอยู่ไกลเหลือเกิน
อัพรูปให้ดูไปพลางๆก่อน ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันอีกที่
.

http://phrachan.multiply.com/photos/album/78/78

.
Photobucket

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Rhythm of Life...A time of coffee(2)




ภาคต่อของวันวาน


http://phrachan.multiply.com/journal/item/27/Rhythm_of_Life...As_Time_Goes_By

...
Photobucket
.
http://tuktadevil.multiply.com/photos/album/80/Book_for_Gift_
(ขอบคุณสมุดบันทึกจาก...บางน้อยคอยรักนะคะ...ไว้วันหลังส่งมาให้อีกนะ อุ๊บ!)


ดูเหมือนชีวิตมันเดินมาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
คราวนี้...ลมเหนือ...จะพัดพาไป จะนานแค่ไหนไม่มีคำตอบ

หน้าหนาวปีนี้มาเร็ว จนปรับตัวแทบไม่ทันสำหรับคนขี้หนาวอย่างเรา
บางวันมันหนาวทะลุไปถึงขั้วหัวใจ ทนไม่ได้ก็ต้องทนกันไป :)

จากนี้ไปคงจะออนไลน์น้อยลงหรืออาจจะออนไลน์ทั้งวัน( หึ หึ )
ก็สุดแต่สถานการณ์จะพาไป ถ้าอยากรู้ว่าไปไหนคงต้องย้อนกลับไปดู
คำตอบทั้งหมดอยู่ที่นี่

http://phrachan.multiply.com/photos/album/94/94

...เรื่องเล่า,เรื่องอ่าน(ไม่)เอาเรื่อง,เรื่องสั้น จะทยอยอัพให้นะคะ(ถ้ามีเวลาเขียน)
และหลังจากทุกอย่างลงตัวแล้ว
...หนังสือที่ยืมม้อย,ยืมตุ๊กตามาอ่าน(ขอเอาไปอ่านให้จบ)แล้วจะส่งคืนให้ในเร็ววันนะคะ...ไม่เกินปีนี้แน่นอนค่ะ
...กีฬาสี คงไม่ได้เข้าไปร่วมสนุกแล้ว (งานเพื่อปากท้อง คงต้องมาก่อน...งานอดิเรก)
...มีอะไรก็ หยอดๆเอาไว้นะคะ จะหาโอกาสมาอ่าน

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Pai today


ร้านกาแฟ...Coffee in Love มีคอกาแฟไปชิมมา...บอกว่าสู้กาแฟที่สวนก็ไม่ได้


Photobucket
...
ไปรับลมหนาวที่ปาย ออกเดินทางจากแม่แตงช่วงเช้า
หมอกลงหนาตลอดทางไปปาย อุณหภูมิช่วงเช้า 13 องศา
คนเพียบ ไปเจอกองถ่าย เค้าถ่ายหนังหรือละครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักใครสักคน

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ที่พึ่ง...ทางใจ

 

บางเวลาที่...ใจ...ต้องการ

บางขณะที่...ใจ...ค้นพบ

บางครั้งก็ได้เยียวยารักษา...ใจ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของความ...คิดถึง


เป็นไงบ้างนะ...สบายดีหรือป่าว?

ได้แต่มองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
...

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

OK Love Photo...เรื่องของมุมมอง




OK Love Photo Training ครั้งที่ 1

เป็นการเริ่มต้นการเรียนถ่ายรูปครั้งแรกหลังจากที่ลองผิดลองถูกด้วยกล้องของตัวเอง
และกล้องของเพื่อนมาโดยตลอด
เค้านัดเรียนกันที่...ร้านโอยั๊วะ ถนนงามวงค์วาน ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยเกษตร ประตู 2
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ที่ผ่านมา
.
Photobucket

โครงการ OK Love Photo Training ครั้งที่ 1 จัดขึ้นมาโดยมีพี่ๆที่บล็อคโอเคเนชั่นช่วยกัน
ติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพ มาเป็นวิทยากรให้

รายละเอียดการอบรม
http://www.oknation.net/blog/lovecondo3/2008/10/13/entry-1

โดยมีวิทยากรทั้ง 7 ท่าน
คุณ Jao http://www.oknation.net/blog/jaofoto
คุณเอ้ http://www.oknation.net/blog/sorawich
คุณย่าดา http://www.oknation.net/blog/dada
คุณชุ้ง http://www.oknation.net/blog/lovecondo3
คุณปู๋ http://www.oknation.net/blog/mrtaweesak
คุณป๋าโด่ง http://www.oknation.net/blog/idongphoto
คุณ Ead http://www.oknation.net/blog/Ead01

...
หลังจากดื่มกาแฟและนั่งเม้าท์กับน้องๆที่เคยไปทริปสุรินทร์กันมาพอสมควรแก่เวลา
ก็เริ่มเข้าสู่การอบรมถ่ายภาพ

เรียนรู้การใช้กล้องของตัวเองแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 กล้องดิจิตอลชนิดคอมแพ็ค
กลุ่มที่ 2 กล้องดิจิตอลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ (DSLR)

เพิ่งรู้ว่ากล้องดิจิตอลชนิดคอมแพ็คยังแบ่งออกเป็นกล้อง...Auto..อย่างเดียว
กับแบบที่เป็น...Auto...และ Manual ด้วย กล้องที่เอาไปเรียนเป็นกล้อง...Auto..อย่างเดียว
ปรับอะไรไม่ได้มากและยังเป็นกล้องที่ไม่คุ้นมือเพราะยืมเพื่อนมา

เราเรียนรู้การใช้กล้องไปพร้อมๆกับเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพ ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัด

เริ่มต้นที่ฐานแรก...การถ่ายภาพแนวบุคคล (Portrait)
...
Photobucket
อ.เอ้ เจ้าของสโลแกน...Everyone can be a Model !! ...ผู้สอนเทคนิคการถ่าย portrait
.
Photobucket
...
ในฐานนี้จะเป็นกลุ่มกล้องดิจิตอลชนิดคอมแพ็ค นางแบบ,นายแบบก็หาเอาคนใกล้ตัว
ก็ลองถ่ายทั้งแบบ...Auto...และใช้โปรแกรมที่เครื่องมีให้ ดูจากกล้องไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง
แต่พอเอามาเปิดในคอมฯ กลับเจอความแตกต่างอย่างชัดเจน

Portrait1...เกิดจากการลองปรับค่าต่างๆ(เท่าที่พอจะปรับได้)
ข้อสังเกตจากการใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพ Portrait

ถ้าใช้...Auto..แล้วลองปรับ ISO Speed มากขึ้น ภาพจะมีมิติ แสง-เงา มากกว่า
แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้ Program ที่มีอยู่ในเครื่องในโหมด..Portrait...ภาพจะสว่างจ้ากว่า
จนแทบมองไม่เห็น แสง-เงา

กลิ้ง

.

...

น้ำกลิ้งบน...ใบบัว

รึ

น้ำกลิ้งบน....ใบบอน

ไม่เห็น...ต่าง

 

 

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อยากได้...อยากมี




เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โอบกอด จันทรา

Rating:★★★★★
Category:Books
Genre: Other
Author:เรืองรอง รุ่งรัศมี
"กวีเรอะ กูเคยเป็น แต่ตอนนี้รักษาหายแล้ว"
ตอนที่อ่านพบคำพูดประโยคนี้ของเปลื้อง คงแก้ว หรือเทือก บรรทัด
จากข้อเขียนของประมวล มณีโรจน์ ที่เขียนคารวะการจากไปของคนตรงเมืองตรัง
ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
...
เรืองรอง เขียนไว้ใน...เปิดประตู..ของหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วยิ้ม
อยากเปิดอ่านในหน้าถัดไป
เรืองรอง เป็นใคร ไม่เคยรู้จักแต่คุ้นๆว่า...เป็นนักเขียน
ไม่เคยซื้อหนังสือของเขาอ่านแต่รู้ว่า...
เดียวดายใต้เงาจันทร์ โกวเล้งรำพัน...เขาเป็นคนเขียน
.
วิถีใช่เพียงวิธีการ
แต่ละช่วงผ่านล้วนหน่วงหนัก
ดื่มจันทร์ ดื่มสุรา ดื่มความรัก
คุ้นเคยรู้จักยังเมามาย

(จากวิถีนักดาบ)
...
ยังเหลือความฝันบ้างไหม?
ขอบฟ้าสวยใสไกลหรือ?
หนึ่งสมอง สองเท้า สองมือ
ปล่อยวาง? ยึดถือ? หนักเบา?

(จากใจใครลืมหายรายทาง)
...
กอดจันทร์คืนเพ็ญไว้เต็มอ้อม
คืนวันหวานหอมอ่อนหวาน
เหน็ดเหนื่อยการงาน
บ้านให้พลังกายใจ

(จากโอบกอดจันทรา)
...
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ...ให้แง่คิดหลายอย่าง
ในการค้นหาความหมายของชีวิต

เรืองรอง รุ่งรัศมี เป็นนามปากกาของอดีตสมาชิกกลุ่มวรรณศิลป์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง ยุค 14 ตุลา 2516
ผลพวงจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้ต้องออกจากการเรียน
ในมหาวิทยาลัย
...

ขอบคุณ...น้องไก่...ที่ให้หนังสือเล่มนี้มาอ่านนะคะ

http://surassada.multiply.com/

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เลว..ได้ที่จริงๆ...7 ตุลา '51




Photobucket
...
Photobucket
...
Photobucket
...
Photobucket
...
Photobucket
...
ขอประนามคนที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจสั่งการทั้งหมด

...เลวจริงๆ...

ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา
...
Photobucket
.
กราฟฟิคลำดับเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างตำรวจกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

จากบล็อค
http://www.oknation.net/blog/pradit/2008/10/07/entry-1

ตำรวจและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปะทะกันหลายครั้งในหลายจุด ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงค่ำ

เริ่มตั่งแต่เวลา 6.15น. ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสลายผู้ชุมนุมที่หน้ารัฐสภา
ต่อมาเวลา 11.30น. เกิดเหตุยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล
และที่สี่แยกการเรือนในเวลา 16.15น. แก๊สน้ำตาก็ถูกใช้สลายผู้ชุมนุมอีกครั้ง
เวลา 17.00น. ที่สี่แยกอู่ทองผู้ชุมนุมขับรถชนตำรวจ
17.30 มีตำรวจถูกยิงที่หน้ารัฐสภาบาดเจ็บสองนาย
18.55น. ที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการสลายผู้ชุมนุมอีกครั้ง
และอีกครั้งในเวลา 20.00น. โดยแก๊สน้ำตา (ไม่รู้แก๊สน้ำตาบ้านพ่อใครมันถึงทำให้คนมือเปล่าขาขาดได้)

รายงานความเสียหายในเวลาสามทุ่ม
มีคนตาย 2 คน หนึ่งในนั้นตายเพราะการวางระเบิดรถยนต์ที่หน้าที่ทำการพรรคชาติไทย
มีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายรวมประมาณ 400 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม
และบาดเจ็บสาหัส 10คน รวมทั้งมีคนขาขาดจากแรงระเบิด 4-5 ราย
...

สลายพันธมิตรหน้ารัฐสภา1 จนขาขาด
...

ดูกันเอาเอง...ใครยิง จากบล็อคโอเคเนชั่น

http://www.oknation.net/blog/tyty1789/2008/10/10/entry-1
...


วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ตะวันชิงพลบ




...
Photobucket
...
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ได้เห็นความ...สวยงาม...และความ...เลวร้าย...ของธรรมชาติ
ยังดีที่เราได้สัมผัสในสิ่งที่...มันเป็นของมันจริง จริง
...
ไม่ได้...สร้างภาพ

ชอบธรรมชาติ...ก็ตรงนี้ล่ะ :)

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

แบงค์,Fitness กับการตลาดแบบ...โง่ๆ

       เราไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เศษฐกิจชะลอตัวมาเนี่ย คนเอาเงินเข้าแบงค์กันมากน้อยแค่ไหน?ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี เวลาเข้าไปแบงค์เพื่อโอนเงินบ้าง ถอนบ้าง จ่ายค่าโน้น นี่บ้างหลังจากเสร็จธุระ เจ้าหน้าที่แบงค์ก็จะทำการ...ขายตรง...บริการที่มีทั้งหมดในแบงค์ แรกๆก็ตกกระได พลอยโจน ฟังพนักงานแบงค์พูดจนเสร็จ แล้วจึงบอกว่า...ไม่อ่ะค่ะ มีแล้วไม่อยากทำเพิ่ม ฯลฯ ไปแบงค์บ่อยๆ เข้าเจอจนเบื่อ เลยเปลี่ยนวิธีฝาก-ถอน-โอน ทางเอทีเอ็ม  
      ผ่านไปไม่นานเราก็จะได้รับเบอร์โทรฯ แปลกๆ ทั้งๆที่ก็ไม่เคยให้เบอร์ใครสุ่มสี่สุ่มห้า แรกๆก็รับสายเพราะนึกว่าติดต่อเรื่องงานคุยไปคุยมา ถึงบางอ้อว่า มาจากแบงค์นั้น(สีม่วง) แบงค์นี้(ต่างชาติ) มาเสนอ...ขายบริการ...ของทางแบงค์ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือเงินฝากรูปแบบใหม่ ตอนแรกด้วยความที่เกรงใจ ก็คุยด้วย ตอนหลังเจอบ่อยเข้าต้องถามว่า...จากที่ไหน แล้วก็ตัดบทไปว่าไม่อยู่ รับสายแทนหรือไม่ก็ ติดงานค่อยคุยวันหลัง  เบอร์ที่โทรฯเข้าแต่ละครั้ง...เปลี่ยนแบงค์ไปเรื่อย(เข้าใจว่าข้อมูลมันคง...ถึง...กัน)

        วันนี้เจออีกโทรฯมาตอนสายๆ นี่ก็จากแบงค์ชื่อดัง(ที่มีตราดอกบัวอ่ะ) จำได้ว่าเราเลิกใช้บริการของแบงค์นี้มาหลายปีดีดักแล้ว พอรู้ที่มา ก็ตัดบทไปเลย  ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง มีเบอร์แปลกๆ เข้ามาอีก คราวนี้ไม่รับสาย แต่คุ้นว่าเคยโทรฯเข้ามาแต่ก็จำไม่ได้ว่ามาจากไหน จัดการต่อเน็ตเช็คที่มาที่ไปของเบอร์นี้ทันที่...027 910000... ก็ได้เรื่องทันที เป็นเบอร์ของฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่งที่ค่าสมาชิกโครตจะแพง มันไปได้เบอร์มาจากไหนว่ะเนี่ย...เวรแท้ๆ  พอเช็คข้อมูลจากเน็ตเสร็จเม็มเบอร์เอาไว้ ไม่ทันไร โทรฯมาอีก คราวเนี่ยเปิดมือถือรับสายแล้ววางเครื่องทิ้งไว้  แล้วก็นั่งทำงานต่อ ปล่อยให้พล่ามไปจนปิดเครื่องไปเอง

       ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นงานของคุณ  คุณอาจจะโดนกดดันมาจากเจ้านาย เพื่อให้มียอดขายตามเป้า แต่บังเอิญว่าคุณโทรฯมาผิดจังหวะไปหน่อย

      ขอแนะนำว่า....ให้ทำการตลาดด้วยวิธีอื่นได้มั๊ย...วิธีนี้มันน่ารำคาญและเป็นวิธีการทำตลาดแบบ...โง่ๆ...ถ้าบังเอิญคนที่โทรฯมา  มาอ่านเจอเข้าหรือว่าเจ้านายของคุณมาอ่านเจอ ฝากบอกไว้ ณ ที่นี่เลยนะว่า...ที่หลัง อย่าทำ :)


 

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องของ...ฟ้า




ฟ้า...เปลี่ยนสี
ลม...เปลี่ยนทิศ
คน...เปลี่ยนความคิด
ชีวิต...มันก็เท่านั้น
...
Photobucket
...
Photobucket

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๒)

ภาพจากคุณราษีไศลจากโอเคเนชั่น

...

Photobucket

ภาพจากคุณพระ,เสือน้อย ช่างภาพจากผู้จัดการ

....

เราเดินทางมาเยี่ยมทหารชายแดนและมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ทหารชายแดนที่ปราสาทตาเมือนธม จากการพูดคุยทำให้ทราบถึงปัญหาที่ทางรัฐบาลอาจมองข้ามดูเป็นเรื่องเล็กน้อย(เพราะหัวหน้ารัฐบาลมัวแต่เข้าครัว..ชิมไป แถไปวันๆ ) คือสภาพความเป็นอยู่ของทหาร,สิ่งอำนวยความสะดวกที่ยังขาดแคลนอีกหลายอย่าง ,เรื่องค่าครองชีพที่ต่ำแสนต่ำ ฯลฯ จากนั้นเราจึงเดินไปดูรอบๆบริเวณปราสาท ที่นี่ยังมีระเบิดที่ยังไม่ได้เก็บกู้อีกเยอะ ทางทหารทำรั้วลวดหนามกั้นบริเวณเอาไว้และมีป้ายบอกเป็นระยะๆ ถ่ายรูปไปได้ไม่กี่รูปแบตหมด...จบกัน  เลยหันไปฟังอาจารย์วรนัยอธิบายเรื่องภาพจำหลักจำได้บ้างไม่ได้บ้าง

Photobucket  Photobucket Photobucket Photobucket

ปราสาทตาเมือนธม

...

จากกรณีเขาพระวิหาร ที่คนเขมร เข้าไปใช้ได้ แต่คนไทยเข้าไปไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งไทยและเขมรควรจะเข้าไปได้หรือไม่ก็...ต้องห้ามทั้งสองฝ่ายเข้าไป  มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตไว้ว่าหากเป็นเช่นนี้ อาจจะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปอีกหลายแห่ง อย่างเช่น

1. แนวเขาบรรทัดบริเวณ บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 18 ต.ตาเมียง กิ่ง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาเมือน รวมไปถึงปราสาทตาควาย ตั้งอยู่ในเขต บ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ที่ 17  ต.บันได   จ.สระแก้ว หลักเขตที่ 31-32 เนิน 48 หลักเขตที่ 37-40 บริเวณเขาพนมปะและเขาพนมฉัตร ต.ตาพระยา หลักเขตที่ 51 บ้านคลองหาด อ.คลองหาด ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างยึดแผนที่คนละฉบับ
2. บริเวณหลักเขตที่ 66-67 บ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรีและหลักเขตที่ 72-73 จุดผ่านแดนถาวร บ.หาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่  จ.ตราด ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 100 ไร่
3. นอกจากพื้นที่ทับซ้อนทางบกแล้ว ไทย-กัมพูชายังมีปัญหา เส้นเขตแดนทางน้ำ เนื่องจากไทยและกัมพูชา ประกาศ เขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ต่างกัน   โดยกัมพูชาได้ลากจุดอ้างอิงผ่านยอดเขาสูงสุดของ เกาะกูด เลยไปถึงระยะกึ่งกลางระหว่างหลักเขตที่ 73 ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับทางทะเลกับไทย  34,043 ตารางกิโลเมตร ( ซึ่งที่ตรงนี้ว่ากันว่ามีบ่อน้ำมัน )
...

ปราสาทตาเมือนเป็นกลุ่มปราสาทหินโบราณ 3 หลัง ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบไปด้วย    ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม ประธานคณะกรรมการกิจการชายแดนกัมพูชา  เคยออกมายืนยันก่อนหน้านี้ โดยยึดแผนที่ที่ฝรั่งเศสร่างให้ ระบุว่า ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม   ตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชา ส่วนปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในดินแดนของไทย
...
จากข่าวที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจไปร่วมทริป...ตามรอยเส้นทางราชมรรคา...กับทางโอเคเนชั่น
จากปราสาทเขาพระวิหารถึง...กลุ่มปราสาทตาเมือน ถ้าเราเสียพื้นที่เขาพระวิหารไปแล้ว เราจะเสียพื้นที่อะไรอีกต่อไป    ถ้ามีการสำรวจโดยอ้างอิงสันปันน้ำตามนิยาม ข้อตกลงในสนธิสัญญาปี 1904 (พ.ศ. 2447) ที่ยังตกลงไม่ได้

...

ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มปราสาทตาเมือน

กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านตาเมียง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิศเขาดงเร็ก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมมมีการใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป
   ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็ก สองสระ เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก
   ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม 2.5 กิโลเมตรก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล ที่รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
    ปราสาทตาเมือน เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง
   กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค

...

ระเบิดเวลาเรื่องเขาพระวิหาร
 
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=180

บันทึกการเดินทางตามหา “ราชมรรคา”ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗


http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=185

ข้อมูลเพิ่มเติมจากวารสารเมืองโบราณลองอ่านดูเล่นๆนะคะ

...

หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปยังปราสาทตาเมือนโต๊ดและแวะทานข้าวกันที่นี่  ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ แถมมีรุ้งกินน้ำตัวอ้วน 2 ตัวให้เราได้ชื่นชมในระหว่างทานข้าวกันด้วย เมื่อท้องอิ่มก็เดินทางไปยังประสาทตาเมือนที่อยู่ไม่ไกลจากปราสาทตาเมือนโต๊ดต่อ

Photobucket

ไปจิ๊กภาพจากคุณพระ ช่างภาพจากผู้จัดการมาอีกแล้ว...รุ้งอ้วน

Photobucket

ปราสาทตาเมือนโต๊ด

...

 

Photobucket Photobucket

...

Photobucket Photobucket

ปราสาทตาเมือนเป็นธรรมศาลา(ที่พักคนเดินทาง)ความน่าสนใจของปราสาทหลังนี้คือรูปแกะสลัก

หลังจากนี้เราเดินทางกลับที่พัก เราไปพักที่กรมชลประทานห้วยเสนง

ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๓)

 

 

 

 

 

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ฟ้ารั่ว




Photobucket
...
ฟ้ารั่ว
ฝนกระหน่ำ
เปียกทั้งตัว...เปียกทั้งใจ

ฟ้า,ฝน...แปรปรวน
ใจคน...ปรวนแปรยิ่งกว่า

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๑)

เส้นทางสายราชมรรคา...เริ่มต้นจากเมือง...ยโศธรปุระ หรือเมืองพระนครธม ของราชอาณาจักรกัมพุเทศ (กัมพูชาในปัจจุบัน) ไปยัง...เมืองวิมายะปุระ หรือเมืองพิมาย (ปราสาทหินพิมาย จ. นครราชสีมา)

เส้นทางสาย “ราชมรรคา” (Royal Roads) หรือ “ถนนราชดำเนิน” แห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือเส้นทางที่เชื่อมโยงบ้านเมืองและกลุ่มอารยธรรมเขมร หรือขอมโบราณ อันเป็นบรรพบุรุษ “ร่วมสายเลือด...ร่วมแผ่นดิน...ร่วมอารยธรรม” ของไทยในอดีต...และปัจจุบัน...

ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงโปรดให้สร้างถนนหลวง ๕ สายขึ้น และให้จัดสร้าง “อโรคยศาลา” หรือโรงพยาบาล และ "วหนิคฤหะ" หรือบ้านมีไฟ-ธรรมศาลา เพื่อเป็นที่พักคนเดินทาง หรือป้อมตรวจการระหว่างถนนไว้ตลอดเส้นทางสาย “ราชมรรคา”

บทจารึกปราสาทพระขรรค์ ระบุว่ามี "อโรคยาศาลา" ทั้งหมด ๑๐๒ แห่ง และ "วหนิคฤหะ” จำนวน ๑๒๑ แห่งบนเส้นทางทั้ง ๕ สาย ที่สร้างจากเมืองพระนครธม ศูนย์กลางแห่งอาณาจักร สู่เมืองราชธานีต่างๆ ในอดีต  เส้นทางราชมรรคาสายเหนือ ถนนหลวงจากเมืองพระนครธม สู่ราชธานีที่เมืองพิมาย ตัดผ่านแนวเขาพนมดองเร็ก (พนมดงรัก) ผ่านทุ่งกว้าง  สู่ดินแดนที่ราบสูงในภูมิภาคอีสานใต้ มีธรรมศาลา-บ้านมีไฟ ปรากฏเฉพาะตรงบริเวณช่องตาเมือน เชื่อมต่อเป็นธรรมศาลา ๙ หลัง ในฝั่งไทย และอีก ๘ หลัง ในฝั่งกัมพูชาเรียงเป็นเส้นตรงตามแนวภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน...

ตรงตามจารึกปราสาทพระขรรค์ (ราวพุทธศักราช ๑๗๓๔) บทหนึ่งที่ระบุว่า...

“...จากราชธานี (เมืองยโศธรปุระ) ไปยังเมืองวิมาย (พิมาย)
(มี) ที่พักคนเดินทางพร้อมด้วยไฟ ๑๗ แห่ง...”

  นักวิชาการสุดกู่ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “การมีอยู่จริง” ของ “เส้นทางราชมรรคา” ตามบันทึกของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส...

   แต่นักโบราณคดีนอกกรอบ เชื่อว่า “เส้นทางราชมรรคา” นั้นมีอยู่จริง ตรงตาม “จารึก” ในปราสาทพระขรรค์ มีหลักฐานยืนยันจากการลงสำรวจพื้นที่จริง มีร่องรอยของอารยธรรมปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน
คือรูปแบบ “สถาปัตย์ปราสาท” ของธรรมศาลา-บ้านมีไฟ (Dharma-sala) หรือที่พักคนเดินทาง สิ่งก่อสร้างที่ควบคู่กับถนนสายราชมรรคา

และอโรคยศาลา (Arogaya-sala) หรือโรงพยาบาล สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในแหล่งชุมชนโบราณ หรือสรุก โดยมีอาคารปราสาทที่สร้างด้วยศิลา ที่เรียกว่า “สุคตาลัย” (Chapel of Hospital) เป็นประธานของโรงพยาบาล ยังคงหลงเหลืออยู่ตามจารึก...

เป็นบทคัดย่อที่คุณอะหนึ่งแห่งโอเคเนชั่นได้อ้างอิงจากหนังสือ : เนะขแมร์ อินไทยแลนด์

สำหรับท่านที่สนใจ เส้นทางสายราชมรรคา โดยละเอียด โปรดอ่านต่อที่...
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” ธรรมศาลาจากพระขรรค์สู่วิมายะปุระ
โดย : วรณัย พงศาชลากร (อ.ศุภศรุต)

...

สำรวจปราสาทตาเมือนจังหวัดสุรินทร์

Photobucket Photobucket

Photobucket Photobucket

แผนการเดินทางถูกเขียนลงสมุดบันทึกก่อนออกเดินทางไม่กี่ชั่วโมง
แผนที่...เส้นทางหลวงราชมรรคา จากพิมายสู่พระนครธม...และภาพ  Sketch ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ
ถูกเขียนขึ้นอย่างหยาบๆ อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยให้อะไรๆ มันดูง่ายขึ้นในการจดจำ

วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่เช้า ตกเย็นฝนกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา การได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมือง...ห่วยแตก...ขนาดนี้ ทำให้ลืม สิ่งที่ขัดหูขัดตาไปได้บ้าง...ชั่วขณะก็ยังดี
เราเดินทางมาถึงสุรินทร์ตอนสายๆ ของเช้าวันเสาร์ ข้าวเช้าตกถึงท้องในเวลาใกล้เที่ยงวัน การเดินทาง...Late...ไป 4 ชั่วโมง!!  ไปถึงปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทบ้านระแงงก็ช่วงบ่ายแก่ๆ ว่ากันว่าที่นี่มีนางอัปสราที่ไม่ธรรมดา ให้เราได้ดูกัน  ทริปนี้เราได้อาจารย์วรนัย พงศาชลากร ผู้เขียนเนะขแมร์อินไทยแลนด์เป็นผู้บรรยายตลอดการเดินทาง

Photobucket

Photobucket

ปราสาทศีขรภูมิ(ปราสาทบ้านระแงง)

...ไปดูนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงงกัน...

Photobucket

Photobucket

ทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราช

...

นางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง

โดย สุวัฒน์ แก้วสุข

ถ้าเราแวะไปเยี่ยมชมปราสาทบ้านระแงง(อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์) แล้วหยุดมองไปด้านหน้าปราสาทจะพบว่ามีรูปจำหลักภาพนางอัปสรสองนางยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูเทวาลัย หากสังเกตให้ละเอียดขึ้นก็จะเห็นอีกว่า มือข้างหนึ่งของนางอัปสรถือดอกบัว อีกข้างดูคล้ายรั้งผ้านุ่งที่ขมวดใต้สะดือ มีนกตัวหนึ่งเกาะนิ่งบนไหล่

ส่วนทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราชที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในประเทศไทย

ในความรู้สึกของผมนั้น นางอัปสรากำลังยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะอวดด้วยความภาคภูมิใจว่า เธอได้เฝ้าปรนนิบัติแด่องค์พระศิวะ มหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวสถาน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราสาทบ้านระแงงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระศิวะและชุมชนโบราชที่อยู่บริเวณนี้ ก็ต้องยอมรับนับถือคติแบบไศวนิกายให้เป็นศาสนาของผู้คนพลเมืองมาก่อนอย่างแน่นอน

ไศวนิกายคือการบูชาและยกย่องพระศิวะหรือพระอิศวรให้เป็นใหญ่เหนือเทพทั้งปวง ตามความเชื่อในลักธิพราหมณ์ ซึ่งนับถือเทพเจ้ามากมายเป็นร้อยเป็นพัน

หากมองในแง่ศิลปะแล้ว การจำหลักภาพนางอัปสรของที่นี่ถือเป็นงานฝีมือชั้นครู ทำได้อย่างงดงามและปราณีตบรรจงไม่ด้อยกว่าที่ใด ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ศิลปะที่มีอายุนับพันปีอย่างนี้คงไม่ได้ทำขึ้นเพียงเพื่อมุ่งให้แลดูสวยงามอย่างเดียวเป็นแน่

ผมไม่เคยเห็นนางอัปสรในท่วงท่าลักษณะนี้มาก่อน เท่าที่ตระเวณดูปราสาทเขมรโบราณ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในอีสานก็มีไม่กี่แห่ง ที่ยังพอจะเหลือรูปนางอัปสรให้เห็นกันอย่างชัดๆ กลายเป็นของหาดูยากไปแล้ว   ด้วยเหตุนี้ การปรากฏภาพจำหลักนางอัปสรยืนเฝ้าปราสาทระแงง จึงมิใช่เป็นเรื่องธรรมดา จะเพียงชื่นชมว่าสวยแล้วจากไปเฉยๆ คงไม่อาจทำได้

ถ้าใครเคยไปเที่ยวนครวัดของกัมพูชาจะประจักษ์ด้วยตัวเองว่า เฉพาะที่นครวัดแห่งเดียวก็ดาษดื่นไปด้วยรูปจำหลักนางอัปสรจนตื่นตาตื่นใจไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนเป็นต้องเห็นนางอัสรสถิตอยู่บนทับหลัง ซุ้มประตู ผนัง หน้าบัน ฯลฯ แทบไม่มีซอกมุมใดไร้เงานางอัปสรเลย

นักโบราณคดีตรวจนับรูปนางอัปสรที่นครวัดได้มากมายถึง ๑๖๓๕ นาง บางคนยืนยันว่ามีมากกว่านั้น ชาวกัมพูชาเรียกนางอัปสรว่า "อัปสรา" (Apsara) เป็นคำเดียวกันกับภาษาไทย ("อัปสร" เป็นคำสันสกฤต ถ้าเป็นบาลีจะใช้คำว่า "อัจฉรา")

นางอัปสร หรือ "อัป-สะ-รา" เป็นใครมาจากไหนหรือ?

คำตอบเรื่องนี้เห็นจะต้องย้อนยุคไปไกลร่วม 3000 ปีและไกลถึงชมพูทวีป ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมโบราณที่เราสืบทอดมานับร้อยชั่วอายุคน

คัมภีร์ปุราณะ ซึ่งเขียนขึ้นในยุคมหากาพย์ของอินเดีย (ช่วงเดียวกับวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะ) มีเรื่องราวตอนหนึ่งเกี่ยวกับการเกิดของนางอัปสร  เนื้อหาสาระค่อนข้างจะพิสดารตามแบบนิยายปรัมปราทั่วไป เรื่องมีอยู่ว่า ในกาลหนึ่ง เทพยากับอสูรได้ร่วมกันทำน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะไม่รู้จักตาย พิธีนี้เรียกว่า "กวนเกษียรสมุทร" มีพระนารายณ์เป็นผู้ควบคุมการทำพิธีดังกล่าว 

กรรมวิธีการทำน้ำอมฤตนี้ต้องใช้พญานาควาสุกรี(เป็นนาคห้าหัว)ทอดตัวรัดพันรอบภูเขามัณธระ(คือเขาพระสุเมรุ ซึ่งก็คือยอดเขาหิมาลัย) พวกอสูรช่วยกันจับลำตัวส่วนหัว พวกเทวดาจับตรงหาง ดึงกันไปดึงกันมาอยู่คนละฟาก ภูเขาที่อยู่ตรงกลางจึงกวนมหาสมุทรเป็นวังวน

ระหว่างทำพิธีอยู่นั้นเกิดดเหตุไม่คาดฝัน ภูเขามัณธระได้ถล่มลงมาน้ำอมฤตที่ว่าจึงหายไปอยู่ใต้ภูเขา ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างเป็นเต่า แหวกว่ายลงไปใต้สมุทรเพื่อหนุนเขามัณธระขึ้นมา ขณะที่ยักษ์กับเทวดาชักดึงนาคไปมาจนทะเลปั่นป่วนนั้น นางอัปสรก็ผุดขึ้นมาประดุจฟองคลื่น จึงกล่าวได้ว่าพวกเธอคือนางฟ้าที่จุติจากน้ำในมหาสมุทรนั่นเอง

เรื่องราวเหล่านี้เป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ ไม่ใช่ตำนานที่เขมรหรือไทยเขียนขึ้นมาแต่อย่างใด ว่ากันส่านางอัปสรองค์แรกที่จุติขึ้นมาคือ "พระลักษมี" ผู้ซึ่งต่อมาเป็นฉายาของพระนารายณ์ ซึ่งก็เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนจำนวนมากเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี มหกรรมเทวดากับยักษ์ช่วยกันกวนน้ำทิพย์นี้จบแปลกๆ เพราะเมื่อได้น้ำอมฤตสมดังตั้งใจแล้ว แทนที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรม พวกเทวดากลับใช้เล่ห์ดื่มกินเองฝ่ายเดียวไม่ยอมแบ่งปันแก่อสูร บรรดาเหล่าเทวดาทั้งหลายจึงอยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะแต่ฝ่ายเดียว ส่วนอสูรก็อกหักไปตามระเบียบ บางตำราถึงกับบอกว่าเพราะการที่ได้ดื่มน้ำอมฤตนี้เองทำให้เทวดาสามารถขับไล่อสูรลงจากสวรรค์ได้สำเร็จ

พิธีกวนเกษียรสมุทร เรียกตามโบราชราชประเพณีของไทยว่า "ชักนาคดึกดำบรรพ์" เป็นพิธีสรรเสริญยกย่องกษัตริย์เป็นเสมือนเทพ อยุธยารับสืบทอดมาจากพราหมณ์ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่อครั้งไปตีได้กรุงกัมพูชา ที่นครวัดก็สลักภาพพิธีกรรมนี้ไว้บนผนังศิลายาวร่วม ๕๐ เมตรเป็นรูปยักษ์และเทวดาจำนวนนับร้อยกำลังชักนาคดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่โตโอฬารที่สุดที่มนุษย์ทำขึ้นมา

มีผู้สันนิษฐานว่าคำ "ดึกดำบรรพ์" น่าจะเพี้ยนมาจากภาษาเขมรว่า "ตึ๊กตระบัล" แปลว่าตีน้ำหรือกวนน้ำ ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ดังนั้นหากได้ยินใครพูดถึงสมัยดึกดำบรรพ์ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านั่นย่อมหมายถึงยุคโบราณจริงๆ ตั้งแต่ครั้งที่ยัง "ตีน้ำ" กวนเกษียรสมุทรเอาเลยทีเดียว

ตรงห้องอาคารผู้โดยสารในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของเราก็มีการสร้างประติมากรรมขนาดใหญ่จำลองการกวนเกษียรสมุทรแบบนี้ไว้ให้ฝรั่งต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยได้เห็น แต่จะเข้าใจเรื่องราวมากน้อยเพียงใดก็ยากที่จะทราบได้

สรุปแล้วภาพจำหลักนางอัปสรที่มีอยู่ตามโบราณสถานเขมรพอจะแยกได้เป็นสองลักษณะคือ รูปยืนเต็มตัว เป็นเทพประจำเทวสถานอย่างที่ปราสาทบ้านระแงง อีกลักษณะหนึ่งอยู่ในท่ารำฟ้อนหรือเหมาะเหินเดินอากาศเป็นนางอัปสรที่กำลังเคลื่อนไหว ซึ่งพบเห็นมากตามทับหลังหรือหน้าบัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นนางอัปสรกลุ่มใด หากสังเกตเสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งองค์ทรงเครื่องตลอดจนผ้านุ่ง สร้อยคอ กำไลมือ รัดต้นแขน ต่างหู ชฎา การเกล้าผมหรือกระทั่งหน้าตาท่าทาง ก็จะพบความแตกต่างไปตามยุคสมัยและความนิยมของแต่ละท้องถิ่น อาจมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความเป็นสตรีที่งดงาม สูงศักดิ์และ
เย้ายวน ตรงนี้ผู้สร้างคงมิได้มีเจตนาจะให้เป็นหญิงชาวบ้านสามัญชน น่าจะเป็นความคิดฝันของคนในสมัยนั้นถึงเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่คอยเฝ้าบำเรอความสุขแด่เทพผู้เป็นใหญ่มากกว่า

บรรดานาฏศิลป์แขนงต่างๆ ที่ตกทอดมายังสุโขทัย อยุธยา จนถึงปัจจุบัน ก็ล้วนแต่มีพื้นฐานอันเกี่ยวโยงกับนางอัปสร ไม่ว่าท่าหรือการแต่งกาย มีการจัดลำดับความสำคัญไว้ชัดเจน เช่น การเล่นโขนรามเกียรติ์ถือเป็นของสูง ในขณะลิเกและเซิ้งทั้งหลายเป็นการละเล่นของชาวบ้าน ไม่ปะปนกัน

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเกี่ยวกับนางอัปสรเหล่านี้ทำให้ต้องยืนยันว่านางอัปสรไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพจำหลักอันไร้จิตวิญญาณ แต่ในความเป็นจริงพวกเธออยู่ใกล้ชิดกับเราอย่างยิ่งและอยู่ในวัฒนธรรมของเรามาอย่างมั่นคงชั่วนาตาปีแล้ว

นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางอัปสรที่ปราสาทบ้านระแงง อ.ศีขรภูมิ จึงไม่ธรรมดา

...

Photobucket

Photobucket 

...
ปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทระแงง  เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ประกอบด้วยปรางค์ก่ออิฐจำนวน ๕ องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง ๒๕ เมตร โดยมีปราค์ประธานอยู่ตรงกลางและปราค์บริวาร ๔ องค์ล้อมอยู่ทั้ง ๔ ทิศ

ทับหลังของปรางค์ประธานจำหลักเป็นรูปศิวนาฏราชยืนอยู่บนแท่นมีหงส์แบก ๓ ตัว อยู่เหนือเศียรเกียติมุข สองข้างประตูทางเข้า จำหลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว ด้านข้างจำหลักลายก้ามปูและทวารบาลยืนถือกระบอง

ที่ปรางค์บริวารพบทับหลัง ๒ ชื้น เป็นเรื่องกฤษณาอวตาล ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบช้างและคชสีห์ อีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบคชสีห์ ที่ปรางค์บริวารทิศตะวันออกเฉียงใต้ พบจารึกหินทรายที่กรอบประตู เป็นจารึกอักษรธรรม กล่าวถึงพระเถระผู้ใหญ่และท้ายพระยาร่วมกันบูรณะศาสนสถานแห่งนี้

...บทความเรื่องนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง  จากหนังสือ...สุรินทร์สโมสร...

ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๐)

ขอขอบคุณหนังสือที่ทางสุรินทร์สโมสรมอบให้ด้วยนะคะ

Photobucket

ทวารบาลยืนถือกระบอง

...

หลังจากที่อาจารย์วรนัยอธิบายภาพจำหลักทั้งหมดเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไปดูกลุ่ม...ปราสาทตาเมือน และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ทหารชายแดนที่ดูแลปราสาทตาเมือนธมด้วย

ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๒)