
เหมือน...นก...ที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
.
ชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
...

.
...
น้ำกลิ้งบน...ใบบัว
รึ
น้ำกลิ้งบน....ใบบอน
ไม่เห็น...ต่าง
Rating: | ★★★★★ |
Category: | Books |
Genre: | Other |
Author: | เรืองรอง รุ่งรัศมี |
เราไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เศษฐกิจชะลอตัวมาเนี่ย คนเอาเงินเข้าแบงค์กันมากน้อยแค่ไหน?ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี เวลาเข้าไปแบงค์เพื่อโอนเงินบ้าง ถอนบ้าง จ่ายค่าโน้น นี่บ้างหลังจากเสร็จธุระ เจ้าหน้าที่แบงค์ก็จะทำการ...ขายตรง...บริการที่มีทั้งหมดในแบงค์ แรกๆก็ตกกระได พลอยโจน ฟังพนักงานแบงค์พูดจนเสร็จ แล้วจึงบอกว่า...ไม่อ่ะค่ะ มีแล้วไม่อยากทำเพิ่ม ฯลฯ ไปแบงค์บ่อยๆ เข้าเจอจนเบื่อ เลยเปลี่ยนวิธีฝาก-ถอน-โอน ทางเอทีเอ็ม
ผ่านไปไม่นานเราก็จะได้รับเบอร์โทรฯ แปลกๆ ทั้งๆที่ก็ไม่เคยให้เบอร์ใครสุ่มสี่สุ่มห้า แรกๆก็รับสายเพราะนึกว่าติดต่อเรื่องงานคุยไปคุยมา ถึงบางอ้อว่า มาจากแบงค์นั้น(สีม่วง) แบงค์นี้(ต่างชาติ) มาเสนอ...ขายบริการ...ของทางแบงค์ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือเงินฝากรูปแบบใหม่ ตอนแรกด้วยความที่เกรงใจ ก็คุยด้วย ตอนหลังเจอบ่อยเข้าต้องถามว่า...จากที่ไหน แล้วก็ตัดบทไปว่าไม่อยู่ รับสายแทนหรือไม่ก็ ติดงานค่อยคุยวันหลัง เบอร์ที่โทรฯเข้าแต่ละครั้ง...เปลี่ยนแบงค์ไปเรื่อย(เข้าใจว่าข้อมูลมันคง...ถึง...กัน)
วันนี้เจออีกโทรฯมาตอนสายๆ นี่ก็จากแบงค์ชื่อดัง(ที่มีตราดอกบัวอ่ะ) จำได้ว่าเราเลิกใช้บริการของแบงค์นี้มาหลายปีดีดักแล้ว พอรู้ที่มา ก็ตัดบทไปเลย ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง มีเบอร์แปลกๆ เข้ามาอีก คราวนี้ไม่รับสาย แต่คุ้นว่าเคยโทรฯเข้ามาแต่ก็จำไม่ได้ว่ามาจากไหน จัดการต่อเน็ตเช็คที่มาที่ไปของเบอร์นี้ทันที่...027 910000... ก็ได้เรื่องทันที เป็นเบอร์ของฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่งที่ค่าสมาชิกโครตจะแพง มันไปได้เบอร์มาจากไหนว่ะเนี่ย...เวรแท้ๆ พอเช็คข้อมูลจากเน็ตเสร็จเม็มเบอร์เอาไว้ ไม่ทันไร โทรฯมาอีก คราวเนี่ยเปิดมือถือรับสายแล้ววางเครื่องทิ้งไว้ แล้วก็นั่งทำงานต่อ ปล่อยให้พล่ามไปจนปิดเครื่องไปเอง
ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นงานของคุณ คุณอาจจะโดนกดดันมาจากเจ้านาย เพื่อให้มียอดขายตามเป้า แต่บังเอิญว่าคุณโทรฯมาผิดจังหวะไปหน่อย
ขอแนะนำว่า....ให้ทำการตลาดด้วยวิธีอื่นได้มั๊ย...วิธีนี้มันน่ารำคาญและเป็นวิธีการทำตลาดแบบ...โง่ๆ...ถ้าบังเอิญคนที่โทรฯมา มาอ่านเจอเข้าหรือว่าเจ้านายของคุณมาอ่านเจอ ฝากบอกไว้ ณ ที่นี่เลยนะว่า...ที่หลัง อย่าทำ :)
...
ภาพจากคุณพระ,เสือน้อย ช่างภาพจากผู้จัดการ
....
เราเดินทางมาเยี่ยมทหารชายแดนและมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ทหารชายแดนที่ปราสาทตาเมือนธม จากการพูดคุยทำให้ทราบถึงปัญหาที่ทางรัฐบาลอาจมองข้ามดูเป็นเรื่องเล็กน้อย(เพราะหัวหน้ารัฐบาลมัวแต่เข้าครัว..ชิมไป แถไปวันๆ ) คือสภาพความเป็นอยู่ของทหาร,สิ่งอำนวยความสะดวกที่ยังขาดแคลนอีกหลายอย่าง ,เรื่องค่าครองชีพที่ต่ำแสนต่ำ ฯลฯ จากนั้นเราจึงเดินไปดูรอบๆบริเวณปราสาท ที่นี่ยังมีระเบิดที่ยังไม่ได้เก็บกู้อีกเยอะ ทางทหารทำรั้วลวดหนามกั้นบริเวณเอาไว้และมีป้ายบอกเป็นระยะๆ ถ่ายรูปไปได้ไม่กี่รูปแบตหมด...จบกัน เลยหันไปฟังอาจารย์วรนัยอธิบายเรื่องภาพจำหลักจำได้บ้างไม่ได้บ้าง
ปราสาทตาเมือนธม
...
จากกรณีเขาพระวิหาร ที่คนเขมร เข้าไปใช้ได้ แต่คนไทยเข้าไปไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งไทยและเขมรควรจะเข้าไปได้หรือไม่ก็...ต้องห้ามทั้งสองฝ่ายเข้าไป มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตไว้ว่าหากเป็นเช่นนี้ อาจจะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนไปอีกหลายแห่ง อย่างเช่น
1. แนวเขาบรรทัดบริเวณ บ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 18 ต.ตาเมียง กิ่ง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาเมือน รวมไปถึงปราสาทตาควาย ตั้งอยู่ในเขต บ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ที่ 17 ต.บันได จ.สระแก้ว หลักเขตที่ 31-32 เนิน 48 หลักเขตที่ 37-40 บริเวณเขาพนมปะและเขาพนมฉัตร ต.ตาพระยา หลักเขตที่ 51 บ้านคลองหาด อ.คลองหาด ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างยึดแผนที่คนละฉบับ
2. บริเวณหลักเขตที่ 66-67 บ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรีและหลักเขตที่ 72-73 จุดผ่านแดนถาวร บ.หาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 100 ไร่
3. นอกจากพื้นที่ทับซ้อนทางบกแล้ว ไทย-กัมพูชายังมีปัญหา เส้นเขตแดนทางน้ำ เนื่องจากไทยและกัมพูชา ประกาศ เขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ต่างกัน โดยกัมพูชาได้ลากจุดอ้างอิงผ่านยอดเขาสูงสุดของ เกาะกูด เลยไปถึงระยะกึ่งกลางระหว่างหลักเขตที่ 73 ทำให้เกิดพื้นที่เหลื่อมทับทางทะเลกับไทย 34,043 ตารางกิโลเมตร ( ซึ่งที่ตรงนี้ว่ากันว่ามีบ่อน้ำมัน )
...
ปราสาทตาเมือนเป็นกลุ่มปราสาทหินโบราณ 3 หลัง ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบไปด้วย ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม ประธานคณะกรรมการกิจการชายแดนกัมพูชา เคยออกมายืนยันก่อนหน้านี้ โดยยึดแผนที่ที่ฝรั่งเศสร่างให้ ระบุว่า ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในดินแดนกัมพูชา ส่วนปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในดินแดนของไทย
...
จากข่าวที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจไปร่วมทริป...ตามรอยเส้นทางราชมรรคา...กับทางโอเคเนชั่น
จากปราสาทเขาพระวิหารถึง...กลุ่มปราสาทตาเมือน ถ้าเราเสียพื้นที่เขาพระวิหารไปแล้ว เราจะเสียพื้นที่อะไรอีกต่อไป ถ้ามีการสำรวจโดยอ้างอิงสันปันน้ำตามนิยาม ข้อตกลงในสนธิสัญญาปี 1904 (พ.ศ. 2447) ที่ยังตกลงไม่ได้
...
ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มปราสาทตาเมือน
กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านตาเมียง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิศเขาดงเร็ก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมมมีการใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็ก สองสระ เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก
ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม 2.5 กิโลเมตรก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล ที่รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ปราสาทตาเมือน เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง
กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค
...
ระเบิดเวลาเรื่องเขาพระวิหาร
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=180
บันทึกการเดินทางตามหา “ราชมรรคา”ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=185
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวารสารเมืองโบราณลองอ่านดูเล่นๆนะคะ
...
หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปยังปราสาทตาเมือนโต๊ดและแวะทานข้าวกันที่นี่ ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ แถมมีรุ้งกินน้ำตัวอ้วน 2 ตัวให้เราได้ชื่นชมในระหว่างทานข้าวกันด้วย เมื่อท้องอิ่มก็เดินทางไปยังประสาทตาเมือนที่อยู่ไม่ไกลจากปราสาทตาเมือนโต๊ดต่อ
ไปจิ๊กภาพจากคุณพระ ช่างภาพจากผู้จัดการมาอีกแล้ว...รุ้งอ้วน
ปราสาทตาเมือนโต๊ด
...
...
ปราสาทตาเมือนเป็นธรรมศาลา(ที่พักคนเดินทาง)ความน่าสนใจของปราสาทหลังนี้คือรูปแกะสลัก
หลังจากนี้เราเดินทางกลับที่พัก เราไปพักที่กรมชลประทานห้วยเสนง
ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๓)
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” (Royal Roads) หรือ “ถนนราชดำเนิน” แห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ คือเส้นทางที่เชื่อมโยงบ้านเมืองและกลุ่มอารยธรรมเขมร หรือขอมโบราณ อันเป็นบรรพบุรุษ “ร่วมสายเลือด...ร่วมแผ่นดิน...ร่วมอารยธรรม” ของไทยในอดีต...และปัจจุบัน...
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงโปรดให้สร้างถนนหลวง ๕ สายขึ้น และให้จัดสร้าง “อโรคยศาลา” หรือโรงพยาบาล และ "วหนิคฤหะ" หรือบ้านมีไฟ-ธรรมศาลา เพื่อเป็นที่พักคนเดินทาง หรือป้อมตรวจการระหว่างถนนไว้ตลอดเส้นทางสาย “ราชมรรคา”
บทจารึกปราสาทพระขรรค์ ระบุว่ามี "อโรคยาศาลา" ทั้งหมด ๑๐๒ แห่ง และ "วหนิคฤหะ” จำนวน ๑๒๑ แห่งบนเส้นทางทั้ง ๕ สาย ที่สร้างจากเมืองพระนครธม ศูนย์กลางแห่งอาณาจักร สู่เมืองราชธานีต่างๆ ในอดีต เส้นทางราชมรรคาสายเหนือ ถนนหลวงจากเมืองพระนครธม สู่ราชธานีที่เมืองพิมาย ตัดผ่านแนวเขาพนมดองเร็ก (พนมดงรัก) ผ่านทุ่งกว้าง สู่ดินแดนที่ราบสูงในภูมิภาคอีสานใต้ มีธรรมศาลา-บ้านมีไฟ ปรากฏเฉพาะตรงบริเวณช่องตาเมือน เชื่อมต่อเป็นธรรมศาลา ๙ หลัง ในฝั่งไทย และอีก ๘ หลัง ในฝั่งกัมพูชาเรียงเป็นเส้นตรงตามแนวภูมิศาสตร์อย่างชัดเจน...
ตรงตามจารึกปราสาทพระขรรค์ (ราวพุทธศักราช ๑๗๓๔) บทหนึ่งที่ระบุว่า...
“...จากราชธานี (เมืองยโศธรปุระ) ไปยังเมืองวิมาย (พิมาย)
(มี) ที่พักคนเดินทางพร้อมด้วยไฟ ๑๗ แห่ง...”
นักวิชาการสุดกู่ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิด “การมีอยู่จริง” ของ “เส้นทางราชมรรคา” ตามบันทึกของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส...
แต่นักโบราณคดีนอกกรอบ เชื่อว่า “เส้นทางราชมรรคา” นั้นมีอยู่จริง ตรงตาม “จารึก” ในปราสาทพระขรรค์ มีหลักฐานยืนยันจากการลงสำรวจพื้นที่จริง มีร่องรอยของอารยธรรมปรากฏให้เห็นอยู่ชัดเจน
คือรูปแบบ “สถาปัตย์ปราสาท” ของธรรมศาลา-บ้านมีไฟ (Dharma-sala) หรือที่พักคนเดินทาง สิ่งก่อสร้างที่ควบคู่กับถนนสายราชมรรคา
และอโรคยศาลา (Arogaya-sala) หรือโรงพยาบาล สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในแหล่งชุมชนโบราณ หรือสรุก โดยมีอาคารปราสาทที่สร้างด้วยศิลา ที่เรียกว่า “สุคตาลัย” (Chapel of Hospital) เป็นประธานของโรงพยาบาล ยังคงหลงเหลืออยู่ตามจารึก...
เป็นบทคัดย่อที่คุณอะหนึ่งแห่งโอเคเนชั่นได้อ้างอิงจากหนังสือ : เนะขแมร์ อินไทยแลนด์
สำหรับท่านที่สนใจ เส้นทางสายราชมรรคา โดยละเอียด โปรดอ่านต่อที่...
เส้นทางสาย “ราชมรรคา” ธรรมศาลาจากพระขรรค์สู่วิมายะปุระ
โดย : วรณัย พงศาชลากร (อ.ศุภศรุต)
...
สำรวจปราสาทตาเมือนจังหวัดสุรินทร์
แผนการเดินทางถูกเขียนลงสมุดบันทึกก่อนออกเดินทางไม่กี่ชั่วโมง
แผนที่...เส้นทางหลวงราชมรรคา จากพิมายสู่พระนครธม...และภาพ Sketch ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ
ถูกเขียนขึ้นอย่างหยาบๆ อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยให้อะไรๆ มันดูง่ายขึ้นในการจดจำ
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่เช้า ตกเย็นฝนกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา การได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ในช่วงที่สถานการณ์บ้านเมือง...ห่วยแตก...ขนาดนี้ ทำให้ลืม สิ่งที่ขัดหูขัดตาไปได้บ้าง...ชั่วขณะก็ยังดี
เราเดินทางมาถึงสุรินทร์ตอนสายๆ ของเช้าวันเสาร์ ข้าวเช้าตกถึงท้องในเวลาใกล้เที่ยงวัน การเดินทาง...Late...ไป 4 ชั่วโมง!! ไปถึงปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทบ้านระแงงก็ช่วงบ่ายแก่ๆ ว่ากันว่าที่นี่มีนางอัปสราที่ไม่ธรรมดา ให้เราได้ดูกัน ทริปนี้เราได้อาจารย์วรนัย พงศาชลากร ผู้เขียนเนะขแมร์อินไทยแลนด์เป็นผู้บรรยายตลอดการเดินทาง
ปราสาทศีขรภูมิ(ปราสาทบ้านระแงง)
...ไปดูนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงงกัน...
ทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราช
...
นางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง
โดย สุวัฒน์ แก้วสุข
ถ้าเราแวะไปเยี่ยมชมปราสาทบ้านระแงง(อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์) แล้วหยุดมองไปด้านหน้าปราสาทจะพบว่ามีรูปจำหลักภาพนางอัปสรสองนางยืนขนาบซ้ายและขวาของประตูเทวาลัย หากสังเกตให้ละเอียดขึ้นก็จะเห็นอีกว่า มือข้างหนึ่งของนางอัปสรถือดอกบัว อีกข้างดูคล้ายรั้งผ้านุ่งที่ขมวดใต้สะดือ มีนกตัวหนึ่งเกาะนิ่งบนไหล่
ส่วนทับหลังด้านบนเป็นรูปพระศิวนาฏราชที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งในประเทศไทย
ในความรู้สึกของผมนั้น นางอัปสรากำลังยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะอวดด้วยความภาคภูมิใจว่า เธอได้เฝ้าปรนนิบัติแด่องค์พระศิวะ มหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวสถาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราสาทบ้านระแงงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระศิวะและชุมชนโบราชที่อยู่บริเวณนี้ ก็ต้องยอมรับนับถือคติแบบไศวนิกายให้เป็นศาสนาของผู้คนพลเมืองมาก่อนอย่างแน่นอน
ไศวนิกายคือการบูชาและยกย่องพระศิวะหรือพระอิศวรให้เป็นใหญ่เหนือเทพทั้งปวง ตามความเชื่อในลักธิพราหมณ์ ซึ่งนับถือเทพเจ้ามากมายเป็นร้อยเป็นพัน
หากมองในแง่ศิลปะแล้ว การจำหลักภาพนางอัปสรของที่นี่ถือเป็นงานฝีมือชั้นครู ทำได้อย่างงดงามและปราณีตบรรจงไม่ด้อยกว่าที่ใด ในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ศิลปะที่มีอายุนับพันปีอย่างนี้คงไม่ได้ทำขึ้นเพียงเพื่อมุ่งให้แลดูสวยงามอย่างเดียวเป็นแน่
ผมไม่เคยเห็นนางอัปสรในท่วงท่าลักษณะนี้มาก่อน เท่าที่ตระเวณดูปราสาทเขมรโบราณ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในอีสานก็มีไม่กี่แห่ง ที่ยังพอจะเหลือรูปนางอัปสรให้เห็นกันอย่างชัดๆ กลายเป็นของหาดูยากไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ การปรากฏภาพจำหลักนางอัปสรยืนเฝ้าปราสาทระแงง จึงมิใช่เป็นเรื่องธรรมดา จะเพียงชื่นชมว่าสวยแล้วจากไปเฉยๆ คงไม่อาจทำได้
ถ้าใครเคยไปเที่ยวนครวัดของกัมพูชาจะประจักษ์ด้วยตัวเองว่า เฉพาะที่นครวัดแห่งเดียวก็ดาษดื่นไปด้วยรูปจำหลักนางอัปสรจนตื่นตาตื่นใจไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนเป็นต้องเห็นนางอัสรสถิตอยู่บนทับหลัง ซุ้มประตู ผนัง หน้าบัน ฯลฯ แทบไม่มีซอกมุมใดไร้เงานางอัปสรเลย
นักโบราณคดีตรวจนับรูปนางอัปสรที่นครวัดได้มากมายถึง ๑๖๓๕ นาง บางคนยืนยันว่ามีมากกว่านั้น ชาวกัมพูชาเรียกนางอัปสรว่า "อัปสรา" (Apsara) เป็นคำเดียวกันกับภาษาไทย ("อัปสร" เป็นคำสันสกฤต ถ้าเป็นบาลีจะใช้คำว่า "อัจฉรา")
นางอัปสร หรือ "อัป-สะ-รา" เป็นใครมาจากไหนหรือ?
คำตอบเรื่องนี้เห็นจะต้องย้อนยุคไปไกลร่วม 3000 ปีและไกลถึงชมพูทวีป ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมโบราณที่เราสืบทอดมานับร้อยชั่วอายุคน
คัมภีร์ปุราณะ ซึ่งเขียนขึ้นในยุคมหากาพย์ของอินเดีย (ช่วงเดียวกับวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะ) มีเรื่องราวตอนหนึ่งเกี่ยวกับการเกิดของนางอัปสร เนื้อหาสาระค่อนข้างจะพิสดารตามแบบนิยายปรัมปราทั่วไป เรื่องมีอยู่ว่า ในกาลหนึ่ง เทพยากับอสูรได้ร่วมกันทำน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะไม่รู้จักตาย พิธีนี้เรียกว่า "กวนเกษียรสมุทร" มีพระนารายณ์เป็นผู้ควบคุมการทำพิธีดังกล่าว
กรรมวิธีการทำน้ำอมฤตนี้ต้องใช้พญานาควาสุกรี(เป็นนาคห้าหัว)ทอดตัวรัดพันรอบภูเขามัณธระ(คือเขาพระสุเมรุ ซึ่งก็คือยอดเขาหิมาลัย) พวกอสูรช่วยกันจับลำตัวส่วนหัว พวกเทวดาจับตรงหาง ดึงกันไปดึงกันมาอยู่คนละฟาก ภูเขาที่อยู่ตรงกลางจึงกวนมหาสมุทรเป็นวังวน
ระหว่างทำพิธีอยู่นั้นเกิดดเหตุไม่คาดฝัน ภูเขามัณธระได้ถล่มลงมาน้ำอมฤตที่ว่าจึงหายไปอยู่ใต้ภูเขา ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างเป็นเต่า แหวกว่ายลงไปใต้สมุทรเพื่อหนุนเขามัณธระขึ้นมา ขณะที่ยักษ์กับเทวดาชักดึงนาคไปมาจนทะเลปั่นป่วนนั้น นางอัปสรก็ผุดขึ้นมาประดุจฟองคลื่น จึงกล่าวได้ว่าพวกเธอคือนางฟ้าที่จุติจากน้ำในมหาสมุทรนั่นเอง
เรื่องราวเหล่านี้เป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ ไม่ใช่ตำนานที่เขมรหรือไทยเขียนขึ้นมาแต่อย่างใด ว่ากันส่านางอัปสรองค์แรกที่จุติขึ้นมาคือ "พระลักษมี" ผู้ซึ่งต่อมาเป็นฉายาของพระนารายณ์ ซึ่งก็เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนจำนวนมากเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี มหกรรมเทวดากับยักษ์ช่วยกันกวนน้ำทิพย์นี้จบแปลกๆ เพราะเมื่อได้น้ำอมฤตสมดังตั้งใจแล้ว แทนที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรม พวกเทวดากลับใช้เล่ห์ดื่มกินเองฝ่ายเดียวไม่ยอมแบ่งปันแก่อสูร บรรดาเหล่าเทวดาทั้งหลายจึงอยู่ยงคงกระพันเป็นอมตะแต่ฝ่ายเดียว ส่วนอสูรก็อกหักไปตามระเบียบ บางตำราถึงกับบอกว่าเพราะการที่ได้ดื่มน้ำอมฤตนี้เองทำให้เทวดาสามารถขับไล่อสูรลงจากสวรรค์ได้สำเร็จ
พิธีกวนเกษียรสมุทร เรียกตามโบราชราชประเพณีของไทยว่า "ชักนาคดึกดำบรรพ์" เป็นพิธีสรรเสริญยกย่องกษัตริย์เป็นเสมือนเทพ อยุธยารับสืบทอดมาจากพราหมณ์ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาเมื่อครั้งไปตีได้กรุงกัมพูชา ที่นครวัดก็สลักภาพพิธีกรรมนี้ไว้บนผนังศิลายาวร่วม ๕๐ เมตรเป็นรูปยักษ์และเทวดาจำนวนนับร้อยกำลังชักนาคดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่โตโอฬารที่สุดที่มนุษย์ทำขึ้นมา
มีผู้สันนิษฐานว่าคำ "ดึกดำบรรพ์" น่าจะเพี้ยนมาจากภาษาเขมรว่า "ตึ๊กตระบัล" แปลว่าตีน้ำหรือกวนน้ำ ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ดังนั้นหากได้ยินใครพูดถึงสมัยดึกดำบรรพ์ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านั่นย่อมหมายถึงยุคโบราณจริงๆ ตั้งแต่ครั้งที่ยัง "ตีน้ำ" กวนเกษียรสมุทรเอาเลยทีเดียว
ตรงห้องอาคารผู้โดยสารในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของเราก็มีการสร้างประติมากรรมขนาดใหญ่จำลองการกวนเกษียรสมุทรแบบนี้ไว้ให้ฝรั่งต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยได้เห็น แต่จะเข้าใจเรื่องราวมากน้อยเพียงใดก็ยากที่จะทราบได้
สรุปแล้วภาพจำหลักนางอัปสรที่มีอยู่ตามโบราณสถานเขมรพอจะแยกได้เป็นสองลักษณะคือ รูปยืนเต็มตัว เป็นเทพประจำเทวสถานอย่างที่ปราสาทบ้านระแงง อีกลักษณะหนึ่งอยู่ในท่ารำฟ้อนหรือเหมาะเหินเดินอากาศเป็นนางอัปสรที่กำลังเคลื่อนไหว ซึ่งพบเห็นมากตามทับหลังหรือหน้าบัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นนางอัปสรกลุ่มใด หากสังเกตเสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งองค์ทรงเครื่องตลอดจนผ้านุ่ง สร้อยคอ กำไลมือ รัดต้นแขน ต่างหู ชฎา การเกล้าผมหรือกระทั่งหน้าตาท่าทาง ก็จะพบความแตกต่างไปตามยุคสมัยและความนิยมของแต่ละท้องถิ่น อาจมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความเป็นสตรีที่งดงาม สูงศักดิ์และ
เย้ายวน ตรงนี้ผู้สร้างคงมิได้มีเจตนาจะให้เป็นหญิงชาวบ้านสามัญชน น่าจะเป็นความคิดฝันของคนในสมัยนั้นถึงเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ที่คอยเฝ้าบำเรอความสุขแด่เทพผู้เป็นใหญ่มากกว่า
บรรดานาฏศิลป์แขนงต่างๆ ที่ตกทอดมายังสุโขทัย อยุธยา จนถึงปัจจุบัน ก็ล้วนแต่มีพื้นฐานอันเกี่ยวโยงกับนางอัปสร ไม่ว่าท่าหรือการแต่งกาย มีการจัดลำดับความสำคัญไว้ชัดเจน เช่น การเล่นโขนรามเกียรติ์ถือเป็นของสูง ในขณะลิเกและเซิ้งทั้งหลายเป็นการละเล่นของชาวบ้าน ไม่ปะปนกัน
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเกี่ยวกับนางอัปสรเหล่านี้ทำให้ต้องยืนยันว่านางอัปสรไม่ได้เป็นแค่เพียงภาพจำหลักอันไร้จิตวิญญาณ แต่ในความเป็นจริงพวกเธออยู่ใกล้ชิดกับเราอย่างยิ่งและอยู่ในวัฒนธรรมของเรามาอย่างมั่นคงชั่วนาตาปีแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางอัปสรที่ปราสาทบ้านระแงง อ.ศีขรภูมิ จึงไม่ธรรมดา
...
...
ปราสาทศีขรภูมิหรือปราสาทระแงง เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ประกอบด้วยปรางค์ก่ออิฐจำนวน ๕ องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง ๒๕ เมตร โดยมีปราค์ประธานอยู่ตรงกลางและปราค์บริวาร ๔ องค์ล้อมอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
ทับหลังของปรางค์ประธานจำหลักเป็นรูปศิวนาฏราชยืนอยู่บนแท่นมีหงส์แบก ๓ ตัว อยู่เหนือเศียรเกียติมุข สองข้างประตูทางเข้า จำหลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว ด้านข้างจำหลักลายก้ามปูและทวารบาลยืนถือกระบอง
ที่ปรางค์บริวารพบทับหลัง ๒ ชื้น เป็นเรื่องกฤษณาอวตาล ชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบช้างและคชสีห์ อีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะปราบคชสีห์ ที่ปรางค์บริวารทิศตะวันออกเฉียงใต้ พบจารึกหินทรายที่กรอบประตู เป็นจารึกอักษรธรรม กล่าวถึงพระเถระผู้ใหญ่และท้ายพระยาร่วมกันบูรณะศาสนสถานแห่งนี้
...บทความเรื่องนางอัปสราแสนสวยแห่งบ้านระแงง จากหนังสือ...สุรินทร์สโมสร...
ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๐)
ขอขอบคุณหนังสือที่ทางสุรินทร์สโมสรมอบให้ด้วยนะคะ
ทวารบาลยืนถือกระบอง
...
หลังจากที่อาจารย์วรนัยอธิบายภาพจำหลักทั้งหมดเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไปดูกลุ่ม...ปราสาทตาเมือน และมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ทหารชายแดนที่ดูแลปราสาทตาเมือนธมด้วย
ตามรอยเส้นทางราชมรรคา..ถนนแห่งศรัทธาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗(๒)